คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7206/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เด็กหญิง อ. มีนิสัยชอบลักขโมยซึ่งจำเลยก็ทราบดี บ้านผู้เสียหายก็อยู่ใกล้บ้านจำเลย เด็กหญิง อ. ไปมาหาสู่บ้านจำเลยบ่อย ๆ จำเลยจึงน่าจะทราบความเป็นไปในบ้านผู้เสียหายจากเด็กหญิง อ. เมื่อเด็กหญิง อ. ลักสุราต่างประเทศจากบ้านผู้เสียหายได้ก็น่าจะนำไปขายให้คนบ้านใกล้เรือนเคียงซึ่งล้วนแต่เป็นญาติกัน จำเลยควรจะทราบดีว่าสุราต่างประเทศไม่ใช่ของเด็กหญิง อ. แน่นอน การที่เด็กหญิง อ. เบิกความว่าได้ลักสุราต่างประเทศของผู้เสียหายไปขายแก่จำเลย 5 ขวด แม้จะเป็นการซัดทอด แต่ก็มีพยานอื่นและเหตุผลประกอบจึงรับฟังได้ เชื่อได้ว่าจำเลยได้รับซื้อสุราต่างประเทศที่เด็กหญิง อ. ลักมาจากบ้านผู้เสียหายโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าที่เด็กหญิง อ. เบิกความว่าได้ลักสุราต่างประเทศของผู้เสียหายมาขายแก่จำเลยตามที่จำเลยบอก จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับเด็กหญิง อ. ต้องถือว่าจำเลยรับสุราต่างประเทศจากเด็กหญิง อ. เป็นผลสืบเนื่องมาจากการลักทรัพย์ที่จำเลยเป็นผู้ใช้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานรับของโจรนั้น ได้ความว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจร เมื่อข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบรับฟังลงโทษในความผิดตามที่โจทก์ฟ้องได้แล้ว ศาลก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานอื่นซึ่งโจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้ลงโทษอีกหรือไม่ คดีไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยได้ร่วมกระทำความผิดฐานเป็นผู้ใช้หรือเป็นตัวการร่วมกันลักทรัพย์กับเด็กหญิง อ. หรือไม่
จำเลยเป็นหญิงแม่บ้าน ไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน จำเลยรับซื้อสุราต่างประเทศเพื่อต้องการจะมีไว้บริโภคในราคาถูกเท่านั้น อีกทั้งเป็นการกระทำผิดในระหว่างวงศ์ญาติ ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่สู้ร้ายแรงนัก จึงสมควรรอการลงโทษให้จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่งและให้จำเลยคืนสุราหรือชดใช้ราคาเป็นเงิน 3,350 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง จำคุก 6 เดือน ให้จำเลยคืนสุราหรือชดใช้ราคาเป็นเงิน 3,350 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานรับของโจรตามฟ้องหรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์จำเลยได้ความตรงกันว่า นางทองกุ่ย ยุทธชาวิทย์ ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นญาติกัน มีบ้านอยู่ห่างกันประมาณ 100 เมตร ผู้เสียหายได้อุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงอรอุมา สุขประเสริฐ ตั้งแต่เล็ก ๆ เด็กหญิงอรอุมามีนิสัยชอบลักขโมยและชอบออกจากบ้านไปเที่ยวเตร่ และเคยไปมาหาสู่ที่บ้านจำเลยเป็นประจำ ที่ผู้เสียหายเบิกความว่า นายปรีชา ออประเสริฐ บุตรชายผู้เสียหายได้ให้สุราต่างประเทศแก่ผู้เสียหายประมาณ 8 ลัง ลังละ 12 ขวด เพื่อเตรียมไว้เลี้ยงแขกในงานวันเกิดผู้เสียหาย ผู้เสียหายเก็บสุราดังกล่าวไว้ในห้องโถงบนบ้านชั้นสอง แล้วสุราหายไปจำนวน 4 โหล (48 ขวด) ซึ่งในชั้นแรกไม่ทราบว่าใครเอาไป โดยมีนางสาวกอบกุล พรหมพิทักษ์ หลานผู้เสียหายเบิกความรับรองว่า ผู้เสียหายเก็บสุราต่างประเทศไว้ที่ห้องโถงบนบ้านชั้นสองแล้วสุราบางส่วนหายไปจริง และเด็กหญิงอรอุมาเบิกความรับว่า ได้ลักสุราต่างประเทศของผู้เสียหายที่เก็บไว้บนบ้านชั้นสองไปขายแก่ผู้มีชื่อหลายคนคำผู้เสียหายจึงมีพยานสนับสนุนรับฟังได้ว่า ผู้เสียหายมีสุราต่างประเทศเก็บไว้ในบ้านหลายลังจริง นางสาวกอบกุลเบิกความต่อไปว่า พยานเป็นหลานผู้เสียหาย พักอยู่ในบ้านผู้เสียหายทราบว่าสุราต่างประเทศของผู้เสียหายที่เก็บไว้ในบ้านหายไปประมาณ 4 ลังลังละ 12 ขวด ต่อมาเมื่อปลายเดือนมกราคม 2538 พยานได้เก็บเศษกระดาษตามเอกสารหมาย จ.1 ได้ที่ข้างยุ้งข้าวใกล้บ้านผู้เสียหายเป็นลายมือของเด็กหญิงอรอุมาบันทึกไว้ พยานจึงนำมาให้ผู้เสียหายดู ต่อมาได้เรียกเด็กหญิงอรอุมามาสอบถามเด็กหญิงอรอุมายอมรับว่าได้ลักสุราต่างประเทศของผู้เสียหายไปหลายครั้งเพราะผู้เสียหายไม่อยู่บ้าน และนำไปขายให้ผู้มีชื่อหลายคนตามเอกสารหมาย จ.2 เด็กหญิงอรอุมาเบิกความว่าพยานเป็นคนเขียนข้อความในเอกสารหมาย จ.1 มีความหมายว่า พยานได้ลักสุราต่างประเทศของผู้เสียหายไปขายให้นางประทิน 2 ขวด และให้ครูใหญ่ 1 ขวด ผู้เสียหายและนางสาวกอบกุลจึงทราบว่าเด็กหญิงอรอุมาเป็นคนลักสุราต่างประเทศของผู้เสียหายไป จึงให้เด็กหญิงอรอุมาเขียนชื่อคนที่ซื้อสุราให้ผู้เสียหายดู เหตุการณ์ตอนนี้โจทก์มีร้อยตำรวจตรีสมควร พุ่มกระจ่าง พนักงานสอบสวนมาเบิกความรับรองว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2538 ผู้เสียหายได้นำเด็กหญิงอรอุมามาแจ้งความว่าเด็กหญิงอรอุมาได้ลักสุราต่างประเทศของผู้เสียหายไปขายแก่ผู้มีชื่อหลายคนตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2เด็กหญิงอรอุมาให้การรับสารภาพและได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพโดยลงชื่อไว้ในแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุและบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.4 และ จ.9 เห็นว่า เด็กหญิงอรอุมาเป็นเด็กในบ้านผู้เสียหายย่อมทราบดีว่าผู้เสียหายเก็บสุราต่างประเทศไว้ในห้องโถงบนบ้านชั้นสอง พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวประกอบกันจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า เด็กหญิงอรอุมาเป็นคนลักสุราต่างประเทศของผู้เสียหายที่เก็บไว้ในบ้านไปขายให้บุคคลอื่นจริง ปัญหาต่อไปมีว่าจำเลยได้รับซื้อสุราต่างประเทศของผู้เสียหายจากเด็กหญิงอรอุมาโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมาหรือไม่ ผู้เสียหายและนางสาวกอบกุลพยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อเด็กหญิงอรอุมารับว่าได้ลักสุราต่างประเทศของผู้เสียหายไปขายและเด็กหญิงอรอุมาได้เขียนชื่อคนหลายคนที่ซื้อสุราต่างประเทศจากเด็กหญิงอรอุมาตามรายชื่อในเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งรวมทั้งจำเลยด้วยโดยระบุว่า “ป้าพา 5 ขวด” ผู้เสียหายจึงได้นำเด็กหญิงอรอุมาไปพบพนักงานสอบสวนและมอบเอกสารหมาย จ.2 ให้พนักงานสอบสวนโดยเด็กหญิงอรอุมาเบิกความว่า ได้ลักสุราต่างประเทศของผู้เสียหายไปขายให้คนอื่นหลายคน และขายให้จำเลยรวม5 ขวด ตามที่ระบุว่า “ป้าพา 5 ขวด” ในเอกสารหมาย จ.2 โดยโจทก์มีนายมนู ลายตลับ คนรู้จักกับผู้เสียหายและจำเลยเบิกความสนับสนุนว่า “วันที่ 14 เดือนมกราคม 2538 เวลา 19 นาฬิกาเศษ พยานได้เห็นเด็กหญิงอรอุมาถือสุราต่างประเทศ 1 กล่อง ไปให้จำเลยที่หน้าบ้านจำเลย ข้อเท็จจริงตอนนี้จำเลยนำสืบปฏิเสธว่า ไม่เคยซื้อสุราต่างประเทศจากเด็กหญิงอรอุมา แต่รับว่าที่บ้านจำเลยมีญาติมาดื่มสุรากับสามีจำเลยเป็นประจำ เห็นว่า เด็กหญิงอรอุมามีนิสัยชอบลักขโมย ซึ่งจำเลยก็ทราบดี บ้านผู้เสียหายก็อยู่ใกล้บ้านจำเลย เด็กหญิงอรอุมาไปมาหาสู่ที่บ้านจำเลยบ่อย ๆ จำเลยจึงน่าจะทราบความเป็นไปในบ้านผู้เสียหายจากเด็กหญิงอรอุมา เมื่อเด็กหญิงอรอุมาลักสุราต่างประเทศจากบ้านผู้เสียหายได้ก็น่าจะนำไปขายให้คนบ้านใกล้เรือนเคียงซึ่งล้วนแต่เป็นญาติกัน จำเลยควรจะทราบดีว่าสุราต่างประเทศไม่ใช่ของเด็กหญิงอรอุมาแน่นอน การที่เด็กหญิงอรอุมาเบิกความว่าได้ลักสุราต่างประเทศของผู้เสียหายไปขายแก่จำเลย 5 ขวด แม้จะเป็นการซัดทอดของเด็กหญิงอรอุมา แต่ก็มีพยานอื่นและเหตุผลประกอบจึงรับฟังได้ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่า จำเลยได้รับซื้อสุราต่างประเทศที่เด็กหญิงอรอุมาลักมาจากบ้านผู้เสียหาย โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจรตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษา ที่จำเลยฎีกาว่า เด็กหญิงอรอุมาเบิกความว่า ได้ลักสุราต่างประเทศของผู้เสียหายมาขายแก่จำเลยตามที่จำเลยบอก จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับเด็กหญิงอรอุมา ต้องถือว่าจำเลยได้รับสุราต่างประเทศจากเด็กหญิงอรอุมาเป็นผลสืบเนื่องจากการลักทรัพย์ที่จำเลยเป็นผู้ใช้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานรับของโจรตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1264/2513 นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจร เมื่อข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบรับฟังลงโทษจำเลยในความผิดตามที่โจทก์ฟ้องได้แล้ว ศาลก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานอื่นซึ่งโจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้ลงโทษอีกหรือไม่ คดีจึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยได้ร่วมกระทำผิดฐานเป็นผู้ใช้หรือเป็นตัวการร่วมกันลักทรัพย์กับเด็กหญิงอรอุมาอีกหรือไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดแล้ว เห็นว่า จำเลยเป็นหญิงแม่บ้าน ไม่เคยกระทำผิดมาก่อน จำเลยได้กระทำไปเพื่อต้องการจะมีสุราต่างประเทศไว้บริโภคในราคาถูกเท่านั้น อีกทั้งเป็นการกระทำผิดในระหว่างวงศ์ญาติความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่สู้ร้ายแรงนัก ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน โดยไม่รอการลงโทษนั้น หนักเกินไปและยังไม่เหมาะสม จึงเห็นควรแก้ไข”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 4 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share