คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6487/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องเป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ การให้เช่าซื้อเป็นวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งในหลายข้อของผู้ร้อง ดังนั้น การที่ผู้ร้องให้เช่าซื้อรถยนต์คันของกลางจึงเป็นการประกอบธุรกิจตามวัตถุประสงค์ของผู้ร้อง หาใช่เป็นเรื่องที่ผู้ร้องมุ่งประสงค์แต่เพียงผลกำไรจากการขายสินค้าและราคาเช่าซื้อเป็นสำคัญไม่ ที่ผู้ร้องมิได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือร้องขอคืนรถยนต์ของกลางในชั้นสอบสวนก็ได้ความว่าเมื่อ พ. ผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อ 4 งวดติดต่อกัน ผู้ร้องได้ให้พนักงานติดตามจึงทราบว่ารถยนต์คันของกลางถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดไว้ที่สถานีตำรวจ ทั้งปรากฏว่าขณะนั้นพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องเป็นคดีแล้ว ที่ผู้ร้องมิได้ร้องขอคืนรถยนต์ของกลางในชั้นสอบสวนจึงมิใช่เป็นข้อพิรุธแต่ประการใด แม้สัญญาเช่าซื้อมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าซื้ออยู่ตลอดไปจนกว่าจะครบและรับผิดชอบบรรดาค่าเสียหายทั้งปวงในการใช้รถยนต์ก็ตาม เมื่อปรากฏว่า พ. ยังจะต้องชำระค่าเช่าซื้ออีกหลายแสนบาท การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางที่แท้จริงยื่นคำร้องขอคืนในคดีนี้ จึงเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้ร้องโดยแท้ หาใช่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่นหรือพ. ผู้เช่าซื้อไม่ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335, 336 ทวิ, 357, 83, 33 และริบรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บ-9222ลพบุรี พร้อมเครื่องมืออุปกรณ์เกี่ยวกับรถ 1 ถุง ของกลาง

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องมอบอำนาจให้นายพิษณุ กิตติปรีชา ผู้รับมอบอำนาจช่วงเป็นผู้ดำเนินคดีแทน ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลาง ให้นายพิชัย กองเพ็งเช่าซื้อไปเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2535 ผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดขอให้สั่งคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง

โจทก์คัดค้านว่า นายพิษณุผู้รับมอบอำนาจช่วงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง เนื่องจากผู้ร้องไม่ได้รับมอบอำนาจให้กระทำการดังกล่าวแทน ผู้ร้องไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลาง หากผู้ร้องเป็นเจ้าของก็รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสี่ หรือเป็นการขอคืนเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อและเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทั้งศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งริบรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้คืนรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บ-9222ลพบุรี ของกลางแก่ผู้ร้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า ผู้ร้องให้เช่าซื้อรถยนต์ของกลางโดยมุ่งหวังผลกำไรจากการขายสินค้าและราคาค่าเช่าซื้อเป็นสำคัญเพราะหลังจากจำหน่ายรถยนต์ของกลางให้นายพิชัย กองเพ็ง ผู้เช่าซื้อได้มีสัญญาเช่าซื้อผูกมัดและนายพิชัยรับรถยนต์ของกลางไปแล้ว ผู้ร้องมิได้คำนึงถึงตัวรถว่าจะอยู่ในสภาพเช่นไรนายพิชัยจะนำไปใช้หาประโยชน์ในทางใด ๆ มีกำไรหรือขาดทุนอยู่ในความพอใจของนายพิชัยที่จะต้องรับผิดชอบ โดยที่ผู้ร้องมิได้เกี่ยวข้องตรวจสอบดูแล ผู้ร้องคงมีเจตนามุ่งหวังค่าเช่าซื้อที่จะต้องชำระตามเงื่อนไขและเวลาตามที่กำหนดไว้เท่านั้น นอกจากนี้ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.7 ข้อ 4 และข้อ 6 วรรคสาม แม้รถยนต์ของกลางเกิดอุบัติเหตุหรือมีการเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ และเมื่อผู้ร้องบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้วผู้ร้องยังมีสิทธิเรียกร้องให้นายพิชัย ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดตามสัญญาได้อีก ทั้งปรากฏว่านายพิชัยผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ 4 งวด ผู้ร้องก็ไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือติดตามเอารถยนต์ของกลางคืน การใช้สิทธิของผู้ร้องในการขอคืนรถยนต์ของกลางจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่นคือนายพิชัยโดยแท้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ร้องเป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ การให้เช่าซื้อเป็นวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งในหลายข้อของผู้ร้อง ดังนั้น การที่ผู้ร้องให้เช่าซื้อรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน บ-9222 ลพบุรี ของกลาง ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.7 จึงเป็นการประกอบธุรกิจตามวัตถุประสงค์ของผู้ร้องหาใช่เป็นเรื่องที่ผู้ร้องมุ่งประสงค์แต่เพียงผลกำไรจากการขายสินค้าและราคาเช่าซื้อเป็นสำคัญไม่ ที่ผู้ร้องมิได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือร้องขอคืนรถยนต์ของกลางในชั้นสอบสวนก็ได้ความว่า เมื่อนายพิชัยผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อ 4 งวดติดต่อกัน ผู้ร้องได้ให้พนักงานติดตามจึงทราบว่ารถยนต์ของกลางคันดังกล่าวถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดไว้เป็นของกลางที่สถานีตำรวจภูธร ตำบลกลางดงทั้งปรากฏว่าขณะนั้นพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องเป็นคดีนี้แล้ว ที่ผู้ร้องมิได้ร้องขอคืนรถยนต์ของกลางในชั้นสอบสวนจึงมิใช่เป็นข้อพิรุธของผู้ร้องแต่ประการใด อนึ่งแม้สัญญาเช่าซื้อตามเอกสารหมาย ร.7 ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าซื้ออยู่ตลอดไปจนกว่าจะครบและรับผิดชอบบรรดาค่าเสียหายทั้งปวงในการใช้รถยนต์ของกลางก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้เช่าซื้อยังจะต้องชำระค่าเช่าซื้ออีกหลายแสนบาท การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางที่แท้จริง ยื่นคำร้องขอคืนในคดีนี้ จึงเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้ร้องโดยแท้ หาใช่เป็นเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่นหรือนายพิชัยผู้เช่าซื้อไม่ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตพฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share