คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3653/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ธนาคารมหานคร จำกัด โจทก์ได้โอนกิจการทั้งหมดให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องให้ความเห็นชอบโครงการโอนกิจการของธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) ให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ลงวันที่ 14กันยายน 2541 และโจทก์กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามในหนังสือสัญญาการโอนสินทรัพย์และหนี้สินแล้วตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2541 แต่โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2541 ซึ่งขณะฟ้องโจทก์ยังไม่ได้โอนกิจการให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์จึงเป็นบุคคลที่ถูกจำเลยโต้แย้งสิทธิ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
หลังจากที่โจทก์ฟ้องจำเลยแล้วและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ได้โอนกิจการให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามประกาศกระทรวงการคลังทั้งโจทก์กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามในหนังสือสัญญาการโอนสินทรัพย์และหนี้สินแล้ว ซึ่งตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์พ.ศ. 2505(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2541 มาตรา 38 สัตต บัญญัติไว้ว่า ในการโอนกิจการธนาคารพาณิชย์ ให้แก่ธนาคารพาณิชย์อื่น ถ้ามีการฟ้องบังคับสิทธิเรียกร้องเป็นคดีอยู่ในศาล ให้ธนาคารพาณิชย์ที่รับโอนกิจการ แล้วแต่กรณีเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนในคดีดังกล่าว ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับโอนกิจการของโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ในคดีและศาลฎีกาได้มีคำสั่งอนุญาตแล้วตามมาตรา 38 สัตต ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ย่อมมีอำนาจดำเนินคดีแก่จำเลยได้ต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชน จำกัด ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ มีนายประมนต์ สุธีวงศ์ นายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี และนายไสว ยะกาศคะนอง เป็นกรรมการ กรรมการสองคนลงลายมือชื่อร่วมกันพร้อมประทับตราสำคัญมีอำนาจกระทำการในนามโจทก์ คดีนี้โจทก์มอบอำนาจให้นายวรนิรันดร์ สุธาทรฟ้องคดีแทน จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2536จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันกู้เงินโจทก์ 1,000,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราลูกค้าเงินกู้ที่มีกำหนดระยะเวลาของโจทก์ (เอ็ม แอล อาร์) บวกอีกร้อยละ 1 ต่อปี ขณะทำสัญญาเท่ากับ 13.75 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเปลี่ยนแปลงได้โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2ยอมเสียในอัตราที่เปลี่ยนแปลงทันทีชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกวันที่ 22ของเดือน และชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 180 เดือน นับแต่วันทำสัญญา หากผิดนัดยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดสำหรับลูกค้าผิดนัด ขณะนั้นเท่ากับร้อยละ 19 ต่อปีเพื่อเป็นหลักประกันจำเลยที่ 2 นำที่ดินโฉนดเลขที่ 43270 พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจำนองเป็นประกันโดยมีข้อตกลงว่า หากบังคับจำนองได้ไม่พอ จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดในส่วนที่ขาด และมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังทำสัญญาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผ่อนชำระให้โจทก์เพียงบางส่วน ครั้งสุดท้ายงวดเดือนมกราคม 2540 แล้วเพิกเฉยเรื่อยมายอดหนี้เพียงวันที่ 21 มกราคม 2540 จำเลยที่ 1 และที่ 2 คงค้างเป็นเงินต้น 923,606.59 บาท ดอกเบี้ย 108,112.93 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราลูกหนี้ผิดนัดนับแต่วันที่ 22 มกราคม 2540 ถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ยทั้งสิ้น 367,127.65 บาท อัตราดอกเบี้ยหลังสุดเท่ากับร้อยละ 25 ต่อปี ก่อนฟ้องโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้ชำระเงินกู้ทั้งหมด และบังคับจำนองไปยังจำเลยทั้งสามแล้ว แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 1,290,734.40 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 25 ต่อปี ของเงินต้น 923,606.59 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ

จำเลยที่ 1 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 ให้การว่า ผู้ลงลายมือชื่อมอบอำนาจมิใช่กรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ทั้งตราประทับก็มิใช่ตราประทับที่แท้จริงของโจทก์หนังสือมอบอำนาจจึงเป็นเอกสารปลอม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณาทนายจำเลยที่ 2 ยื่นคำแถลงฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2542 ว่าโจทก์สิ้นสภาพการเป็นนิติบุคคลแล้ว โจทก์จึงยื่นคำแถลงฉบับลงวันที่ 8 เมษายน 2542และแนบสำเนาประกาศกระทรวงการคลัง พร้อมแถลงต่อศาลในรายงานกระบวนพิจารณาในวันเดียวกันว่า โจทก์ยังคงมีสภาพเป็นนิติบุคคล เพียงแต่โอนกิจการคือสินทรัพย์และหนี้สินให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เท่านั้น และรับจะดำเนินการให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ยื่นคำร้องเข้าสวมสิทธิแก่โจทก์แทน ต่อมาวันที่ 22 เมษายน2542 โจทก์ยื่นหนังสือรับรองของนายทะเบียนยืนยันสภาพนิติบุคคลของโจทก์ เพื่อยืนยันอำนาจฟ้อง ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 22 เมษายน 2542

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ได้รับโอนสินทรัพย์และหนี้สินจากโจทก์ ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลฎีกาอนุญาต

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ได้โอนกิจการคือสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ให้ความเห็นชอบโครงการกิจการของธนาคารมหานคร จำกัด(มหาชน) ให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ลงวันที่ 14 กันยายน 2541 และโจทก์กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามในหนังสือสัญญาการโอนสินทรัพย์และหนี้สินแล้วตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2541 เมื่อปรากฏว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2541 ซึ่งขณะฟ้องโจทก์ยังไม่ได้โอนกิจการคือสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์จึงเป็นบุคคลที่ถูกจำเลยทั้งสามโต้แย้งสิทธิ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 อย่างไรก็ตามต่อมาหลังจากที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้แล้วและขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ได้โอนกิจการคือสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวข้างต้น ทั้งโจทก์กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามในหนังสือสัญญาการโอนสินทรัพย์และหนี้สินแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2541 ดังกล่าวแล้ว ซึ่งตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์พ.ศ. 2505 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2541 มาตรา 38 สัตต บัญญัติไว้ว่า ในการ…โอนกิจการธนาคารพาณิชย์ให้แก่ธนาคารพาณิชย์อื่น… ถ้ามีการฟ้องบังคับสิทธิเรียกร้องเป็นคดีอยู่ในศาล ให้ธนาคารพาณิชย์…ที่รับโอนกิจการ แล้วแต่กรณีเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนในคดีดังกล่าว… ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับโอนกิจการของโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ในคดีและศาลฎีกาได้มีคำสั่งอนุญาตแล้วตามมาตรา 38 สัตตดังกล่าว เช่นนี้ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ย่อมมีอำนาจดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสามได้ต่อไปตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนปัญหาที่ว่า จำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่เพียงใดนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย ต้องห้ามอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา เพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับศาล ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ในปัญหาดังกล่าว”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่ในประเด็นที่ว่าจำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่เพียงใด แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share