คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยเป็น 2 คดี คดีแรกฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรโคจำเลยรับสารภาพฐานรับของโจร ศาลลงโทษไปแล้ว คดีหลังฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรกระบือ โดยโจทก์บรรยายฟ้องให้เห็นว่ามีผู้พบเห็นจำเลยครอบครองโคกระบือของกลางทั้งสองคดีอยู่ในขณะเดียวกันและแถลงรับว่าฟ้องคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่มีผู้พบเห็นจำเลยครอบครองของกลางดังกล่าว จำเลยรับสารภาพฐานรับของโจรอีกกับแถลงรับตามที่ศาลสอบถามว่า จำเลยกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกันกับคดีก่อน เช่นนี้ แม้โจทก์ไม่สืบพยาน ศาลก็ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรในคดีหลังได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ และการที่ศาลถามจำเลยดังกล่าวก็เป็นการสอบถามในรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริง ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 235 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักหรือรับของโจรกระบือ 1 ตัว และบรรยายข้อเท็จจริงตอนหนึ่งว่า หลังจากกระบือเจ้าทรัพย์หายไป มีผู้พบเห็นจำเลยกับพวกอีก 2 คนร่วมกันครอบครองกระบือถูกลักไป ขอให้ลงโทษเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357, 83, 92 และนับโทษต่อจากคดีอาญาดำที่ 297/2505

ชั้นแรกจำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับในข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษต่อมาจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร และรับว่าศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีอาญาดำที่ 297/2505 (ฐานรับของโจร. โค) แล้วคือคดีแดงที่ 331/2505

ศาลชั้นต้นเรียกสำนวนคดีแดงที่ 331/2505 มาดู และสอบโจทก์โจทก์แถลงว่ากระบือ (ของกลางคดีนี้) กับโค (ของกลางในคดีแดงที่ 331/2505) มีผู้พบเห็นคนร้ายรวมทั้งจำเลยจูงไปในขณะเดียวกัน และว่าโจทก์อาศัยเหตุนี้ฟ้องจำเลยว่าลักทรัพย์หรือรับของโจร กับโจทก์ขอให้ศาลสอบจำเลย จำเลยแถลงว่า ได้รับกระบือและโคของกลางของแต่ละคดีไว้คนละครั้ง คือคนละวันกัน โจทก์จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยานศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีผิดฐานลักทรัพย์ส่วนฐานรับของโจรกระบือนั้น โจทก์ไม่สืบว่าจำเลยรับกระบือของกลางคดีนี้กับโคของกลางคดีแดงที่ 331/2505 ต่างกรรมต่างวาระกัน จึงต้องฟังว่า จำเลยรับไว้ในเวลาเดียวกัน เป็นกรรมเดียวกัน ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีแดงดังกล่าวแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยอีก ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ส่วนที่จำเลยแถลงรับไว้ จะเอามาลงโทษจำเลยก็ไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่โจทก์ต้องพิสูจน์ความผิดจำเลย ทั้งคำรับเช่นนี้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 235 วรรค 2 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์ถูกต้องตามกฎหมาย และฟ้องแต่ละสำนวนกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกัน เมื่อศาลสอบจำเลย ๆก็รับว่ากระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกัน ทั้งไม่ปรากฏเหตุให้ยกฟ้องโจทก์ แม้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยครอบครองของกลางทั้ง 2 คดีในเวลาเดียวกัน ก็ไม่อาจถือว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรกรรมเดียวและวาระเดียวกัน เพราะความผิดฐานรับของโจรเกิดเป็นความผิดขณะจำเลยรับทรัพย์ไว้โดยรู้ว่าเป็นของได้มาจากการกระทำผิด ไม่ใช่ขณะครอบครองทรัพย์ และการที่โจทก์ฟ้องคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่ามีผู้พบเห็นจำเลยครอบครองของกลางนั้น ก็ไม่ใช่ข้อผูกพันโจทก์ให้นำสืบได้เฉพาะข้อเท็จจริงนั้น หรือถ้าไม่ได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวจะต้องยกฟ้อง โจทก์ย่อมนำสืบข้อเท็จจริงต่าง ๆ อันจะพึงพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องของโจทก์ได้ ถ้าจำเลยรับสารภาพตามฟ้อง โจทก์ก็ไม่ต้องนำสืบข้อเท็จจริง คดีย่อมรับฟังลงโทษจำเลยได้ เว้นแต่คดีมีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปหรือสถานหนักกว่านั้น ฉะนั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยเหตุดังกล่าวจึงไม่เป็นเหตุที่จะยกฟ้อง และการที่ศาลสอบถามจำเลยว่ารับกระบือและโคของกลางของ 2 คดีไว้คนละครั้งหรือครั้งเดียว ก็ไม่ใช่เพื่อประโยชน์จะเพิ่มเติมคดีโจทก์ซึ่งบกพร่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 235 วรรค 2 เพราะฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงครบถ้วนถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ทั้งเป็นการสอบถามรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงยิ่งขึ้น เมื่อจำเลยรับสารภาพต่อศาล ก็รับฟังลงโทษจำเลยได้ พิพากษากลับว่าจำเลยผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วางโทษจำคุก 1 ปี เพิ่ม 1 ใน 3 ตามมาตรา 92 จำคุก 1 ปี 4 เดือน ลดรับสารภาพกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือนนับโทษต่อจากคดีแดงที่ 331/2505

Share