คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1107/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การยืมตามกฎหมายนั้นต้องเกิดขึ้นโดยสัญญา
โดยหน้าที่ราชการจำเลยที่ 1 ได้ยืมเงินทดรองไปจากกองคลังกรมไปรษณีย์เพื่อจ่ายในราชการ อธิบดีรับรองข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ควรมอบให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหัวหน้าหมวดบัญชีเป็นผู้มีหน้าที่รักษาเงิน
ดังนี้ใบยืมที่จำเลยที่ 1 เซ็นไว้จึงเป็นแต่เพียงหลักฐานในวงราชการ การที่จำเลยที่ 1 ต้องเซ็นใบยืมก็เพื่อปฏิบัติหน้าที่อันเป็นเรื่องของระเบียบปฏิบัติราชการ เพียงเท่านี้จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในฐานผู้ยืมหรือตัวการ

ย่อยาว

เดิมโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดใช้เงิน 4 ประเภทศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดเฉพาะเงินประเภทที่ 1 และให้จำเลยที่ 2 ใช้เงินประเภท 2, 3, 4 แก่โจทก์ โจทก์และจำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ คงพิพาทกันต่อมาจนถึงชั้นฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 1

โจทก์ฟ้องว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 รับราชการเป็นนายช่างกำกับการกองพัสดุกรมไปรษณีย์ มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงิน จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่บัญชีและได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 ให้เบิกจ่ายและเก็บรักษาเงิน

ระหว่างวันที่ 12 เมษายน 2488 ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2491 จำเลยเบิกเงินคลังประเภท 1 มีอยู่ 7 รายการ บางรายการจำเลยได้ส่งใบสำคัญการจ่ายเงินแก่กองบัญชีเพื่อหักล้างบ้างแล้วแต่ไม่ครบรวมทั้งสิ้นคงขาดอยู่ 10,477 บาท ซึ่งจำเลยต้องร่วมกันชดใช้คืนแก่โจทก์ในฐานผู้ยืมจึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าเป็นนายช่างผู้กำกับการกองพัสดุและโรงงาน ไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดกับเจ้าหน้าที่รอง เจ้าหน้าที่รองใต้บังคับบัญชาที่ไปก่อการทุจริตหรือบกพร่องในหน้าที่

จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่าไม่ต้องรับผิดในการเบิกจ่ายและรักษาเงินตามที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดเพราะมีหน้าที่ตรวจใบสำคัญเท่านั้น

ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 10,477 บาท กับดอกเบี้ย ฯลฯ

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1

โจทก์ฎีกายืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ยืม การที่จำเลยที่ 1 มอบฉันทะให้จำเลยที่ 2 รับเงินแทนเท่ากับว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้เงินจำนวนนี้ให้โจทก์ตามที่จำเลยที่ 2 ได้กระทำไป

ศาลฎีกาเห็นว่าการยืมตามกฎหมายนั้นจะต้องได้เกิดขึ้นโดยสัญญา แต่ข้อเท็จจริงแห่งคดีนี้ได้ความว่าจำเลยเป็นนายช่าง เมื่อจำเป็นในราชการก็ขอเบิกเงินจากคลังมาก่อน ตามระเบียบเมื่อได้ใบสำคัญการจ่ายเงินแล้วจึงส่งไปหักล้างภายหลังซึ่งเป็นเรื่องการปฏิบัติราชการตามปกติ เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้างานก็ต้องเป็นผู้เซ็นเบิก และได้ความว่าไม่จำเพาะจำเลยที่ 1 เท่านั้นที่เซ็นได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้รักษาการแทนก็เป็นผู้เซ็นเช่นเอกสารหมายจ.7 แม้จะอ้างตอนต้นว่า “ม.ร.ว.เชื้อ สนิทวงศ์ ตำแหน่งนายช่างกำกับการพัสดุและโรงงาน” เป็นผู้ขอเบิก แต่ตอนท้ายนายกำธรลงนามแทน ดังนี้แสดงว่าเป็นเรื่องของระเบียบ หัวหน้ากองคลังเรียกการเบิกเงินทำนองนี้ว่า เงินทดรองหรือเงินยืม การที่จำเลยที่ 1 มอบฉันทะให้จำเลยที่ 2 รับเงินแทนก็เพราะจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าหมวดบัญชี มีหน้าที่รักษาและจ่ายเงินซึ่งอธิบดีรับรองว่า หัวหน้ากองควรมอบเงินให้อยู่ในความรักษาของหัวหน้าหมวดบัญชี หลักฐานเหล่านี้แสดงว่าจำเลยที่ 1 มิได้อยู่ในฐานะผู้ยืมและตัวการตามกฎหมายดังฎีกาของโจทก์

พิพากษายืน

Share