แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เป็นสามีภรรยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การหย่าขาดจึงเป็นเพียงตกลงยินยอมทำหนังสือหย่ากันเองก็ใช้ได้ แม้ต่อมาภายหลังจะกลับมาได้เสียกันใหม่ก็จะถือว่ายังคงเป็นสามีภรรยากันตลอดมาหาได้ไม่
ย่อยาว
เดิมโจทก์ชนะคดีและได้นำยึดทรัพย์หลายอย่าง นายล้อมร้องขัดทรัพย์เฉพาะทรัพย์อันดับที่ 1 และ 2 ว่าเดิมเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง แต่จำเลยกับผู้ร้องได้หย่าขาดกันและแบ่งทรัพย์กันเสร็จไปแล้ว ที่ดินมือเปล่าอันดับ 1 ตกได้เป็นของผู้ร้องมาเกิน 5 ปีแล้ว ส่วนบ้านอันดับ 2 ผู้ร้องปลุกขึ้นด้วยเงินส่วนตัวของผู้ร้อง
โจทก์คัดค้านว่าจำเลยกับผู้ร้องยังมิได้หย่าขาดกันแม้จะมีการหย่าแบ่งทรัพย์กันก็เป็นโดยเจตนาลวงและสมยอมเพื่อฉ้อเจ้าหนี้
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยและผู้ร้องหย่าแบ่งทรัพย์กันแล้วจริงแต่ที่ดินอันดับหนึ่งฟังไม่ได้ว่าตกเป็นของผู้ร้องเรือนอันดับ 2 ซึ่งปลูกในที่ดินดังกล่าวแล้วจึงต้องฟังว่าไม่ใช่ของผู้ร้องด้วย
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าเรือนเป็นของผู้ร้องโจทก์ไม่มีสิทธิยึด ให้ปล่อยทรัพย์อันดับ 2 ให้ผู้ร้องไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยและผู้ร้องเป็นสามีภรรยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีฟังได้ว่าจำเลยและผู้ร้องได้ตกลงทำหนังสือหย่าและแบ่งทรัพย์กันจริง การหย่าจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1498 แล้ว ไม่ได้มีการสมคบกันหย่าเพื่อฉ้อเจ้าหนี้ การที่ภายหลังจากหย่ากันแล้วจำเลยกับผู้ร้องจะกลับมาได้เสียกันใหม่ จะถือว่าจำเลยกับผู้ร้องยังคงเป็นสามีภรรยากันหาได้ไม่เรือนที่พิพาทข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเป็นของผู้ร้องไม่ใช่สินสมรส ศาลฎีกาพิพากษายืน