แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยิงปืนขึ้น 1 นัด โดยพวกร้องให้ยิงในขณะที่วิ่งหนีมาด้วยกันไม่ปรากฏว่าวิถีกระสุนปืนห่างตำรวจที่วิ่งไล่ตามมามากน้อยเท่าใด จะฟังว่าจำเลยยิงโดยเจตนาจะฆ่าเจ้าพนักงานยังไม่ถนัดอาจเป็นยิงขู่ก็ได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา 120 แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานตามมาตรา 250(2), 60 ด้วย จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
“ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาคงมีแต่ข้อเดียวว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปนั้น ฟังได้หรือไม่ว่าเป็นการพยายามฆ่าเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ ดังที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยมา ส่วนปัญหาเรื่องจำเลยสมคบกับนายเชื้อแทงพลตำรวจทำนองถึงแก่ความตายหรือไม่นั้น ยุติไปแล้วโดยทั้งศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่า จำเลยมิได้สมคบกับนายเชื้อ ๆ ได้ใช้อาวุธทำร้ายพลตำรวจทำนองไปโดยพลการโดยจำเลยมิได้มีส่วนร่วมมือด้วย ข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้ได้ความว่า จำเลยวิ่งหนีไปกับนายเชื้อภายหลังที่นายเชื้อได้แทงพลตำรวจทำนองแล้ว โดยมีพลตำรวจเฉลิมไล่ตามนายเชื้อกับจำเลยไปในระยะห่างกันประมาณ10 เมตร และยังมีพลตำรวจวิจิตรไล่ตามไปอีกคนหนึ่งในระยะห่าง ๆ กันศาลนี้เห็นว่าการที่จำเลยใช้ปืนยิงมานั้นก็โดยนายเชื้อเป็นผู้ร้องให้ยิงในขณะที่กำลังวิ่งหนีไปด้วยกันจำเลยใช้ปืนยิงแต่เพียงนัดเดียวไม่ปรากฏว่าวิถีกระสุนปืนห่างตัวพลตำรวจเฉลิมมากน้อยเท่าใดดังนี้จะฟังว่าจำเลยยิงโดยเจตนาจะฆ่าเจ้าพนักงานไม่ถนัดนักเพราะอาจเป็นการยิงเพื่อขู่มิให้เจ้าพนักงานติดตามจับกุมก็ได้เมื่อรูปคดีโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้เป็นที่ชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัยก็ต้องวินิจฉัยในทางที่เป็นคุณแก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่มานั้น ศาลนี้ไม่เห็นพ้องด้วย”
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น