แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์อ้างว่าที่พิพาทนี้จำเลยที่ 1 สละสิทธิยกให้แก่ทางราชการเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดตั้งมหาวิทยาลัย แต่จำเลยที่ 1 โต้เถียงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ตกลงกันว่าถ้าทางราชการได้สร้างมหาวิทยาลัยขึ้นโดยแท้จริงแล้วจำเลยที่ 1 ยอมยกที่พิพาทให้เปล่าโดยไม่คิดมูลค่าและจะได้ทำนิติกรรมต่อคณะกรมการอำเภอเจ้าของท้องที่ให้เป็นการถูกต้องภายหลัง แต่ก็หาได้สร้างมหาวิทยาลัยขึ้นไม่เช่นนี้ถือว่าข้อเท็จจริงในคดีนี้ยังฟังเป็นยุติไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้สละสิทธิยกที่พิพาทให้แก่ทางราชการเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับตั้งมหาวิทยาลัยจึงจำเป็นจะต้องฟังหลักฐานพยานต่อไปจนสิ้นกระแสความ ศาลจะสั่งงดสืบพยานเสียยังไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยจำเลยที่ 1 สละสิทธิยกให้แก่ทางราชการเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดตั้งมหาวิทยาลัยตั้งแต่ พ.ศ. 2484 ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2494 จำเลยที่ 1 ได้ทำนิติกรรมและจดทะเบียนยกที่รายนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรขอให้ศาลแสดงว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยกที่ให้จำเลยที่ 2 และนิติกรรมยกให้เป็นโมฆะกับห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1 เคยตกลงกับทางราชการไว้ว่า ถ้าทางราชการได้สร้างมหาวิทยาลัยขึ้นโดยแท้จริงแล้ว จำเลยที่ 1 ยอมยกที่ให้แก่จำเลยไม่คิดมูลค่าและจะได้ทำนิติกรรมต่อคณะกรมการของท้องที่ให้เป็นการถูกต้องภายหลัง แต่แล้วหาได้สร้างมหาวิทยาลัยขึ้นไม่ ดังนั้นที่พิพาทจึงยังคงเป็นของจำเลยที่ 1 เพราะยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างมหาวิทยาลัยการที่จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเปิดเผยถูกต้องตามระเบียบทุกประการ
จำเลยที่ 2 สู้ว่าได้รับโอนที่ดินจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตได้ครอบครองและให้ผู้อื่นเช่ามา 3 ปี โจทก์ทราบดีไม่คัดค้าน
จำเลยทั้งสองตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงบางข้อและเอกสารที่เกี่ยวกับคดีนี้แล้วสั่งงดสืบพยานคู่ความและเห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องได้ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2496 มาตรา 32 ประกอบด้วย มาตรา 57(7) เพราะมีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ส่วนปัญหาข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยได้สละที่พิพาทให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้วตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 และการสละให้เป็นสาธารณสมบัติเช่นนี้หาจำต้องมีวิธีจดทะเบียนอย่างการโอนให้แก่เอกชนไม่ จึงถือว่าที่พิพาทตกเป็นของแผ่นดินตั้งแต่จำเลยได้แสดงเจตนายกให้เทียบตามคำพิพากษาฎีกาที่ 332/2475 ที่ 583/2483 และที่ 506/2490 ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ในภายหลังย่อมไม่มีผลจึงพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยสมบูรณ์ นิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นโมฆะ
จำเลยทั้งสองคนอุทธรณ์ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและสั่งศาลชั้นต้นให้ดำเนินการพิจารณาต่อไปตามกระบวนความ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงซึ่งเป็นข้อสำคัญคู่ความยังโต้เถียงกันอยู่ที่ศาลชั้นต้นได้งดสืบพยานและพิพากษาคดีนั้นไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปความ
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีแล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงในคดียังฟังเป็นยุติไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้สละสิทธิยกที่พิพาทให้แก่ทางราชการเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับตั้งมหาวิทยาลัย เพราะจำเลยที่ 1 ยังโต้เถียงอยู่ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ตกลงกันว่า ถ้าทางราชการได้สร้างมหาวิทยาลัยขึ้นโดยแท้จริงแล้ว จำเลยที่ 1 ยอมยกที่พิพาทให้เปล่าโดยไม่คิดมูลค่า และจะได้ทำนิติกรรมต่อคณะกรรมการอำเภอเจ้าของท้องที่ให้เป็นการถูกต้องภายหลัง แต่ก็หาได้สร้างมหาวิทยาลัยขึ้นไม่ จึงจำเป็นต้องฟังพยานหลักฐานต่อไปจนสิ้นกระแสความโจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์