แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว ย่อมทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ไม่มีผลกระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายแก่กันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 โดยมาตรา 392 ให้นำมาตรา 369 ว่าด้วยการชำระหนี้ในสัญญาต่างตอบแทนมาใช้บังคับ จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ส่งคืน ย่อมทำให้โจทก์เสียหาย จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ได้ใช้ทรัพย์ของโจทก์มาตลอดระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ครอบครองทรัพย์ได้ ตามมาตรา 391 วรรคสาม
ค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์หรือค่าใช้ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ตลอดเวลาที่ไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ เป็นมูลหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกชำระหนี้กันได้ระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อกับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน เมื่อปรากฏว่า ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำเงินค่าเช่าซื้อไปชำระให้โจทก์อีก 80,000 บาท ซึ่งต้องนำไปหักออกจากจำนวนเงินดังกล่าว ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน ซึ่งต้องรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมที่มิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1)ประกอบมาตรา 247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2536 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ราคา 3,600,000 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากทำสัญญาจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว จำเลยที่ 1 ยังครอบครองใช้รถของโจทก์ต่อไป ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์จำนวน 1,541,667 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 50,000 บาท นับแต่ถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะคืนรถยนต์แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2536 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์จริง แต่ไม่เคยผิดสัญญาเพราะจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ทุกงวด โจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ได้ยึดถือวันเวลาตามที่ตกลงในสัญญาเช่าซื้อเพราะบางครั้งจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อล่วงหน้าหลายงวด และบางครั้งโจทก์ก็ยอมให้จำเลยที่ 1 ค้างชำระหลายงวดแล้วรวมชำระครั้งเดียว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน371,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ 12,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบคืนแก่โจทก์ แต่ไม่เกิน 6 เดือน
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยโจทก์และจำเลยที่ 1 มิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2536 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อซูมิโตโม่หมายเลขเครื่องยนต์ 6 บีดี1 – 741346 ไปจากโจทก์ราคา 3,600,000 บาท จำเลยที่ 1 ชำระเงินในวันทำสัญญา 400,000 บาท ส่วนที่เหลือตกลงผ่อนชำระเป็นงวดรวม 24 งวดงวดละเดือนเดือนละ 134,000 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 21 เป็นต้นมา โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญา…
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการที่สองมีว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เพียงใด ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 มิได้นำสืบโต้แย้งให้เป็นเป็นอย่างอื่นว่า จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์จนครบถ้วนตั้งแต่งวดที่ 22เป็นต้นมา จนกระทั่งวันที่ 23 กันยายน 2540 โจทก์จึงมีหนังสือตามเอกสารหมาย จ.7 ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างพร้อมดอกเบี้ยภายใน15 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 รับหนังสือดังกล่าว หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าหนังสือฉบับดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ โดยมีผลเลิกสัญญา ณ วันที่ครบกำหนด 15 วันดังกล่าว ซึ่งตามหลักฐานใบตอบรับเอกสารหมาย จ.8จำเลยที่ 1 รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2540 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้ครบถ้วนภายใน 15 วัน สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 จึงเป็นอันเลิกกันตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไป ดังนั้น เมื่อสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวเลิกกันแล้ว ย่อมมีผลทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ไม่มีผลกระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายแก่กันตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 และมาตรา 392 บัญญัติว่า การชำระหนี้ของคู่สัญญาอันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้นให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 369 กล่าวคือให้นำมาตรา 369 ว่าด้วยการชำระหนี้ในสัญญาต่างตอบแทนมาใช้บังคับจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 19 และหนังสือเอกสารหมาย จ.7 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์โดยยังคงครอบครองใช้ประโยชน์จากรถยนต์คันดังกล่าวตลอดมาตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ประจำงวดที่ 21 ตรงกับวันที่ 5 ตุลาคม 2538 ตามการ์ดบัญชีรายการชำระเงินเอกสารหมาย จ.6 ย่อมทำให้โจทก์เสียหาย จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ได้ใช้ทรัพย์ของโจทก์มาตลอดระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ครอบครองทรัพย์ คือตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม2538 เป็นต้นมา เพื่อชดเชยเป็นค่าเสียหายได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม สำหรับค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์หรือค่าใช้ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ตลอดเวลาที่ไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 12,000 บาท นับแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2538 ถึงวันฟ้องวันที่ 1 พฤษภาคม 2541 รวมเป็นเงิน 371,200 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 12,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์แต่ไม่เกิน 6 เดือนนั้น นับว่าเป็นค่าเสียหายจำนวนที่เหมาะสมตามสมควรแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อย่างไรก็ตามความปรากฏดังที่โจทก์ยื่นคำแก้อุทธรณ์เกินกำหนดเวลาซึ่งศาลรับไว้เป็นคำแถลงการณ์โดยโจทก์รับว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2540 จำเลยที่ 1 นำเงินค่าเช่าซื้อไปชำระให้แก่โจทก์อีก ซึ่งตามหลักฐานเอกสารหมาย 2 ท้ายอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 80,000 บาทดังนั้นจึงต้องนำเงินจำนวน 80,000 บาท ที่โจทก์รับเป็นค่าเช่าซื้อมาหักออกจากจำนวนเงินค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ต้องพึงชดใช้ให้แก่โจทก์ด้วยและค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ให้แก่โจทก์เป็นมูลหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกชำระหนี้กันได้ระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อกับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจึงให้คำพิพากษานี้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันซึ่งต้องรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมที่มิได้ฎีกาด้วย ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบมาตรา 247”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 371,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2541 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชำระค่าเสียหายอีกเดือนละ 12,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ แต่ไม่เกิน 6 เดือน โดยให้หักเงินจำนวน 80,000 บาท ซึ่งโจทก์รับชำระจากจำเลยที่ 1 ไปแล้วออกเสียก่อน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4