คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7064/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกันโดยแต่งกายเป็นพระภิกษุในศาสนาพุทธโดยมิชอบเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นภิกษุในพุทธศาสนาซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับศาสนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 และจำเลยที่ 1 ได้สมคบกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 วางแผนการเพื่อฉ้อโกงประชาชนอันเป็นความผิดฐานซ่องโจร ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 การกระทำผิดทั้ง 2 ฐานดังกล่าว จำเลยที่ 1 ย่อมมีเจตนาประสงค์ต่อผลแตกต่างกันได้ที่สำคัญก็คือสามารถแยกการกระทำแต่ละความผิดได้ เมื่อจำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพว่ากระทำความผิดตามฟ้อง จึงเป็นการกระทำผิดหลายกรรม ไม่ใช่การกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2543 เวลากลางวัน จำเลยทั้งเจ็ดกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยที่ 1แต่งกายเป็นภิกษุในศาสนาพุทธโดยมิชอบเพื่อให้บุคคลอื่นและประชาชนเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นภิกษุในศาสนาพุทธซึ่งความจริงแล้วจำเลยที่ 1มิได้เป็นภิกษุในศาสนาพุทธ จำเลยทั้งเจ็ดสมคบร่วมกันเพื่อกระทำการเป็นซ่องโจรโดยสมคบร่วมกันวางแผนการเพื่อฉ้อโกงประชาชนอันเป็นความผิดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งความผิดนี้มีกำหนดโทษอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งเจ็ดได้พร้อมด้วยบาตรพระ 1 อันผ้าจีวร 1 ผืน ผ้าสบง 1 ผืน ผ้าอาบน้ำฝน 1 ผืน ผ้าอังสา 1 ผืนย่ามสะพาย 1 ใบ ธูปหอม 1 มัด และเทียนไข 1 ห่อ อันเป็นทรัพย์ที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 208, 210, 341, 343

จำเลยทั้งเจ็ดให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 กับจำเลยทั้งเจ็ดมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคแรก, 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยที่ 2มีอายุ 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 75 แล้ว ฐานซ่องโจร คงจำคุก 6 เดือน ฐานแต่งกายพระภิกษุโดยมิชอบ จำคุก จำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี และฐานซ่องโจร จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 7 คนละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปีจำเลยทั้งเจ็ดให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยทั้งเจ็ดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด3 เดือน จำคุกจำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 คนละ 6 เดือน สำหรับจำเลยที่ 2ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 23 พฤติการณ์แห่งคดีเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการบ่อนทำลายพุทธศาสนา จึงไม่รอการลงโทษให้ ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก

จำเลยทั้งเจ็ดอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานแต่งกายเป็นภิกษุโดยมิชอบ จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 3 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานซ่องโจรตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 9 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 1 ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ว่ากระทำความผิดหลายกรรมต่างกันโดยแต่งกายเป็นภิกษุในศาสนาพุทธโดยมิชอบเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นภิกษุในศาสนาพุทธซึ่งเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับศาสนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 และจำเลยที่ 1ได้สมคบกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 วางแผนการเพื่อฉ้อโกงประชาชน อันเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจร ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 การกระทำความผิดทั้ง 2 ฐาน ดังกล่าว จำเลยที่ 1 ย่อมมีเจตนาประสงค์ต่อผลแตกต่างกันได้ที่สำคัญก็คือสามารถแยกการกระทำแต่ละความผิดได้ เมื่อจำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้อง จึงเป็นการกระทำความผิดหลายกรรม ไม่ใช่เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share