คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 498/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 5,000 บาทแล้วนำสืบว่าจำเลยเคยยืมเงินโจทก์ที่ 1 บิดาโจทก์ที่ 2 ไป 2,800 บาทไม่ได้ทำสัญญากันต่อมาขอยืมอีกโจทก์ที่ 1 ให้ถามโจทก์ที่ 2 ดูโจทก์ที่ 2 ให้ยืมและได้เขียนสัญญากู้กันเป็นเงิน 5,000 บาท และโจทก์ที่ 2 ได้จ่ายเงินอีก 2,200 บาทให้จำเลยไปแล้ว ดังนี้ แม้จะมิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์มาก่อน 2,800 บาท แต่ก็เป็นเรื่องโจทก์นำสืบถึงความเป็นมาของจำนวนเงินกู้ตามสัญญาจึงไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น
แม้ในสัญญากู้ดังกล่าวนั้นจะมิได้ระบุว่าได้ทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ที่ 2 ด้วย แต่ในช่องผู้ให้กู้ยืม คือเจ้าของเงินนั้นโจทก์ที่ 2 ได้ลงชื่อร่วมกับโจทก์ที่1 ด้วย ถือได้ว่าโจทก์ที่ 2 เป็นคู่สัญญากับจำเลยด้วยมีอำนาจฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไปเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2501 เป็นเงิน 5,000 บาท ได้รับเงินไปเสร็จแล้วปรากฏตามสัญญากู้ท้ายฟ้อง จำเลยไม่ชำระเงินกู้พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลย

จำเลยให้การต่อสู้ว่า ได้ทำสัญญาท้ายฟ้องกับโจทก์จริงแต่รับเงินไป 2,200 บาท ส่วนอีก 2,800 บาทนั้นคิดเป็นดอกเบี้ยล่วงหน้าเข้าไว้ด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากตามเจตนาแท้จริงได้ตกลงกันไว้ว่าให้ที่ดินเป็นประกันเงินกู้หลุดเป็นสิทธิตีใช้หนี้โจทก์แต่ถ้าจำเลยเอาที่ดินคืนหรือเนื้อที่ไม่ได้ตามที่เอาประกันไว้โจทก์จะเอาดอกเบี้ย 2,800 บาทพร้อมด้วยเงินต้นคืน ต่อมาที่ดินเนื้อที่น้อยลง โจทก์ไม่เอาที่ดินมาฟ้องเอาต้นเงินเกินความจริงโจทก์ที่ 2 มิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย ไม่มีอำนาจฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินกู้แก่โจทก์ 5,000 บาทกับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเคยยืมเงินโจทก์ที่ 1 ผู้เป็นบิดาโจทก์ที่ 2 ไป 2,800 บาท ไม่ได้ทำสัญญากัน ต่อมาจำเลยมาขอยืมเงินโจทก์ที่ 1 อีก โจทก์ที่ 1 ไม่มีว่าให้ถามโจทก์ที่ 2 ดูโจทก์ที่ 2 ว่ามี แต่ต้องทำสัญญาจึงจะให้ยืม จำเลยก็ตกลงยืมและได้เขียนสัญญากู้กันเป็นเงิน 5,000 บาท และโจทก์ที่ 2 ได้จ่ายเงินอีก 2,200 บาท ให้จำเลยไป

ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ที่ 2 ไม่ใช่คู่สัญญา ไม่มีอำนาจฟ้อง(สัญญากู้ท้ายฟ้อง มีข้อความตอนต้นว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินให้ไว้แก่โจทก์ที่ 1 แต่ในช่องผู้ให้กู้ยืมเงินท้ายสัญญามีลายมือชื่อโจทก์ทั้งสอง) นั้น เห็นว่า ตามสัญญากู้ในช่องผู้ให้กู้ยืม คือ เจ้าของเงินนั้นโจทก์ที่ 2 ได้ลงชื่อไว้แล้วจึงถือได้ว่าเป็นคู่สัญญากับจำเลยนั้น ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายในฟ้องว่าจำเลยเคยกู้เงินโจทก์มาก่อน 2,800 บาท โจทก์จะนำสืบไม่ได้ เป็นการนอกประเด็นนั้น เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องโจทก์นำสืบถึงความเป็นมาของจำนวนเงินกู้ตามที่ปรากฏในสัญญา โจทก์จึงนำสืบได้หาใช่นอกประเด็นไม่

พิพากษายืน

Share