คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยร่วมกันทำบัญชีเท็จขึ้นโดยไม่ลงรายการรับชำระหนี้ที่นายน้อยได้ชำระหนี้แก่บริษัทจำเลย การกระทำดังกล่าวเป็นแต่ทำเอกสารด้วยข้อความเท็จ บัญชีเหล่านั้นเป็นบัญชีของจำเลยทำขึ้นเองทั้งฉบับ มิได้ปลอมเอกสารอันแท้จริงของผู้ใด จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร และการที่จำเลยใช้เอกสารนั้นย่อมไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264,268

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาค้ำประกันและมอบโฉนดที่ดินพร้อมกับบ้านหนึ่งหลังให้ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การสาขาสุพรรณบุรียึดถือไว้เป็นประกัน และธนาคารทำสัญญารับรองหนี้สินของนายน้อยต่อบริษัทจำเลย ต่อมานายน้อยได้รับภาชนะและน้ำหวานจากบริษัทจำเลยไปจำหน่ายเป็นคราว ๆ โดยบริษัทจำเลยเปิดบัญชีหนี้สินของนายน้อยซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทจำเลยขึ้น เมื่อนายน้อยเอาเงินสดไปชำระหนี้และส่งภาชนะคืน บริษัทจำเลยก็คิดเป็นตัวเงินออกใบรับให้และลงรายการหักบัญชียอดเงินหนี้สินทุกครั้ง ต่อมาบริษัทจำเลยเลิกสัญญากับนายน้อย และว่านายน้อยเป็นหนี้อยู่ 48,620 บาท บริษัทจำเลยได้ให้ธนาคารชำระเงินจำนวนดังกล่าว ธนาคารฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ให้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวต่อธนาคารเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2506 จำเลยได้ร่วมกันทำบัญชีเท็จขึ้นโดยจำเลยที่ 3 ผู้ทำบัญชี จำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงชื่อรับรองจำเลยที่ 1 เป็นผู้ยืนยันบัญชีเท็จนั้นว่าเป็นบัญชีถูกต้องแท้จริงโดยบัญชีดังกล่าวไม่ได้ลงรายการรับชำระหนี้จากนายน้อย 7 รายการรวมเป็นเงิน 46,847 บาท ความจริงเงินที่นายน้อยชำระหนี้ให้บริษัทจำเลยไป 9 ครั้ง รวมเป็นเงิน 53,317 บาท ถ้าจำเลยได้ลงบัญชีตามความเป็นจริงแล้ว นายน้อยไม่ต้องชำระให้จำเลยอีกจำเลยนำเอกสารปลอมนี้ไปใช้แก่ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ สาขาสุพรรณบุรี ทั้งจำเลยที่ 1 ยืนยันต่อธนาคารและเบิกความต่อศาลแพ่งว่า บัญชีเท็จที่จำเลยทำขึ้นเป็นบัญชีอันถูกต้องแท้จริงทำให้ธนาคารต้องจ่ายเงินแก่บริษัทจำเลยไปเป็นเงิน 58,620 บาท เป็นการเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้นายน้อยต่อธนาคาร โดยจะต้องจ่ายเงินจำนวนนี้ พร้อมกับดอกเบี้ยแก่ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การจำกัดสาขาสุพรรณบุรีตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี

ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 268, 83

ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นเรื่องที่จำเลยทำบัญชีของบริษัทเองจำเลยมิได้ปลอมแปลงเอกสารบัญชีผู้ใด พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า การกระทำตามฟ้องเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม ตามมาตรา 264 และ 268 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันทำบัญชีเท็จขึ้น โดยไม่ลงรายการรับชำระหนี้ที่นายน้อยได้ชำระหนี้แก่บริษัทจำเลยก็ตามการกระทำดังกล่าวเป็นแต่ทำเอกสารด้วยข้อความเท็จ บัญชีเหล่านั้นเป็นบัญชีของจำเลยทำขึ้นเองทั้งฉบับมิได้ปลอมเอกสารอันแท้จริงของผู้ใด จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารและการที่จำเลยใช้เอกสารนั้น ย่อมไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 268

พิพากษายืน

Share