แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นแพทย์แผนโบราณ มีอาชีพรับรักษาโรค จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของเดิมหลายครั้ง เสียเงินกินเปล่าทุกครั้ง จำเลยตั้งเครื่องบดยาไฟฟ้าในตึกพิพาท รับจ้างบดยาสมุนไพรและทำยาผงไทยให้เป็นเม็ด ได้จดทะเบียนพาณิชย์ฟังได้ว่าจำเลยประกอบการค้าเป็นล่ำเป็นสัน ไม่ใช่ประกอบกิจการเล็กน้อย และได้ใช้ตึกพิพาทเปิดเป็นร้านตัดผมด้วย ตึกพิพาทอยู่ในทำเลการค้า ฟังได้ว่าจำเลยเช่าตึกพิพาทเพื่อประกอบการค้า แม้จำเลยจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 มาตรา 4
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 2847 พร้อมทั้งตึกเลขที่ 137 จำเลยเช่าจากเจ้าของเดิมได้ทำการค้าเกี่ยวกับสมุนไพรและยาไทย และทำเป็นสถานที่ตัดผมสัญญาเช่าสิ้นอายุแล้ว โจทก์ประสงค์จะเข้าอยู่ ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไป และให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า จำเลยเช่าตึกรายพิพาทใช้เป็นที่อยู่อาศัยจึงเป็นเคหะได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ และที่ดิน
ศาลแพ่งวินิจฉัยว่าจำเลยใช้ตึกพิพาทเป็นที่อยู่อาศัย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยเช่าเพื่อประกอบการค้า ไม่ได้รับความคุ้มครองพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยและบริวาร
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นแพทย์แผนโบราณ มีอาชีพรับรักษาโรค ได้เช่าตึกแถวพิพาทจากเจ้าของเดิม ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2480 ได้ทำสัญญาเช่ากันทุก 3 ปี และเสียเงินกินเปล่าให้เจ้าของเดิมทุกครั้ง ในปี พ.ศ. 2494, 2495 จำเลยได้ตั้งเครื่องบดยาไฟฟ้าในตึกพิพาทรับจ้างบดยาสมุนไพรและทำยาผงไทยให้เป็นเม็ดวันที่ 14 พฤศจิกายน 2500 จำเลยได้ขอจดทะเบียนพาณิชย์ ปรากฏตามเอกสารโจทก์อ้างศาลหมาย จ.3 ในรายการหน้าหมายอักษร ก. ว่า “ทำการขายเครื่องยาแผนโบราณไทยและจีนเป็นส่วนใหญ่ส่งไปหรือรับมาจากต่างจังหวัดด้วย มีค่าอย่างสูง 3,000 บาท” และหน้าหมายอักษร ค. ในช่องรายการว่า “ทำการปรุงยาไทยแผนโบราณ มีค่าอย่างสูง 10,000 บาท วันหนึ่งปรุงยาเขียว ยาแก้ลมได้ประมาณอย่างต่ำ 300 ซองอย่างสูง 500 ซอง” จำนวนทุนการค้า 20,000 บาท กับใช้ชื่อร้านประกอบการพาณิชย์ว่า วิสุทธิวโรสถ ฟังได้ว่าจำเลยได้ประกอบการค้าเป็นล่ำเป็นสัน ไม่ใช่ประกอบกิจการเล็กน้อยเพื่อดำรงชีพ และในปี พ.ศ. 2501 จำเลยได้ใช้ตึกพิพาทเป็นร้านตัดผม ใช้ชื่อร้านว่าแสงทิพย์ ประกอบกิจการเป็นเวลา 2-3 ปี เพิ่งเลิกเสียเมื่อปีเศษมานี้ และทุกครั้งเมื่อจำเลยทำสัญญาใหม่ ได้เสียเงินกินเปล่าให้แก่ผู้ให้เช่าเรื่อยมา แสดงว่าจำเลยได้ประกอบการขายยาด้วยและได้ทำการค้าขายเป็นส่วนใหญ่ จึงได้เสียเงินกินเปล่าให้แก่ผู้ให้เช่าทั้งตึกพิพาทตั้งอยู่ที่ถนนบำรุงเมืองในย่านนี้จากสี่กั๊กถึงเสาชิงช้ามีประมาณ 30 กว่าห้อง เฉพาะตอนที่จำเลยเช่ามีรวม 10 ห้องในจำนวนนี้ได้เปิดทำการค้าขาย 7 ห้อง เป็นร้านเย็บรองเท้าเย็บปลาสติก เย็บเครื่องหนัง และขายเครื่องบวชนาค ที่ไม่ได้ทำการค้ามีเพียง 3 ห้อง จึงอยู่ในทำเลการค้า เพราะเป็นร้านค้ามากว่าที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยคดีฟังได้ว่า จำเลยได้เช่าตึกแถวเพื่อประกอบการค้า แม้จำเลยจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 มาตรา 4
พิพากษายืน