คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 975/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกร่วมกันฉุดคร่าผู้เสียหายเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่จะทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา ขณะที่การกระทำผิดฐานฉุดคร่ายังไม่สำเร็จ บิดาของผู้เสียหายวิ่งติดตามไปเพื่อขัดขวาง จำเลยสั่งให้พวกของจำเลยใช้อาวุธปืนยิงบิดาผู้เสียหายถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยผิดฐานร่วมเป็นตัวการฆ่าเพื่อให้เป็นความสะดวกในการที่จำเลยกับพวกจะทำการฉุดคร่าผู้เสียหายเพื่อจำเลยจะได้ตัวผู้เสียหายไว้เพื่อทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราอันเป็นประโยชน์อันเกิดแก่การกระทำผิดตามมาตรา 289(6) และ(7)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกมีอาวุธปืนสั้น บังอาจร่วมกันฉุดคร่านางสาวสำเนียงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายและข่มขืนใจนายอยู่บิดานางสาวสำเนียงติดตามไปเพื่อช่วยเหลือนางสาวสำเนียงกลับคืนมา จำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายอยู่ 1 นัดโดยเจตนาจะฆ่านายอยู่และเพื่อความสะดวกในการที่จำเลยกับพวกจะพานางสาวสำเนียงไปเพื่ออนาจารและเพื่อยึดตัวนางสาวสำเนียงไว้เป็นผลประโยชน์แก่ตน กระสุนปืนถูกนายอยู่ นายอยู่ตายในวันต่อมา และเวลาต่อเนื่องกันจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเรานางสาวสำเนียง 2 ครั้งขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 284, 288, 289, 83

จำเลยให้การต่อสู้ว่า นางสาวสำเนียงสมัครใจตามจำเลยไป ต่อมาจำเลยได้กระทำชำเรานางสาวสำเนียง 1 ครั้ง โดยนางสาวสำเนียงยินยอม

นางแย้มภริยาผู้ตายและนางสาวสำเนียงเข้าเป็นโจทก์ร่วม

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 284, 288, 83 ให้วางโทษตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุดให้ประหารชีวิต ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามมาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(1)คงจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 20 ปี

พนักงานอัยการโจทก์อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6) และ (7) ด้วย

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยได้ฉุดคร่านางสาวสำเนียงไปจริง และจำเลยเป็นผู้ร้องสั่งว่าใครเข้ามาให้ยิงเลย การกระทำของจำเลยกับพวกร่วมมือกันตลอดมา ย่อมเป็นตัวการฆ่านายอยู่ด้วยกัน และฟังได้ว่าจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเรานางสาวสำเนียง ที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6) และ (7) เห็นว่า การใช้กำลังพาหญิงไปเพื่อการอนาจารเป็นความผิดอยู่ตลอดเวลาที่ยังพาไปนายหงพวกจำเลยยิงนายอยู่ขณะจำเลยกับพวกใช้กำลังพาหญิงไป จึงเป็นความผิดตามมาตรา 289(6) และการที่จำเลยได้ตัวนางสาวสำเนียงไว้ก็เป็นการเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์ จึงเป็นความผิดตามมาตรา 289(7) ด้วยพิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 287, 289(6) และ (7) ให้วางโทษตามมาตรา 289(6) และ (7) ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด นอกนั้นยืน

จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่าจำเลยกับพวกฉุดคร่านางสาวสำเนียงผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร และจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเรานางสาวสำเนียง 2 ครั้ง ชอบแล้ว ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6) และ(7) หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมมือกันทำการฉุดคร่านางสาวสำเนียงไปเพื่อประโยชน์ของจำเลย ที่จะทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา นับว่าจำเลยเป็นตัวการสำคัญขณะที่การกระทำฐานฉุดคร่ายังไม่สำเร็จ เพราะมีนายอยู่วิ่งติดตามไปเพื่อขัดขวาง จำเลยสั่งให้พวกของจำเลยยิง นายหงพวกของจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงนายอยู่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันกับพวกเป็นตัวการฆ่านายอยู่ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นความสะดวกในการที่จำเลยกับพวกจะทำการฉุดคร่านางสาวสำเนียงและเพื่อจำเลยจะได้ตัวนางสาวสำเนียงไว้เพื่อทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา อันเป็นผลประโยชน์อันเกิดแต่การกระทำผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6) และ (7) พิพากษายืน

Share