คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 803/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิม ผู้ร้องขอรับชำระหนี้ฟ้องลูกหนี้ (จำเลย) เป็นคดีแพ่งสามัญ (เรียกเงินตามเช็ค) แล้วต่อมาลูกหนี้ถูกฟ้องและศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลาย ผู้ร้องขอรับชำระหนี้จึงขอถอนฟ้องคดีแพ่งโดยใช้ถ้อยคำว่า ถอนฟ้องเพื่อไปดำเนินการขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้น แสดงให้เห็นว่าผู้ร้องขอชำระหนี้มิได้มีเจตนาที่จะถอนฟ้องไปเสียเลยโดยเด็ดขาดตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 174 ที่ว่า ‘คดีนั้นได้ถอนเสีย’ อย่างไรก็ดี คดีแพ่งสามัญจะดำเนินไปหรือไม่ก็ตามแม้ชนะคดีแล้วผู้ร้องขอรับชำระหนี้ก็ต้องไปขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายอยู่นั่นเอง และศาลก็ได้อนุญาตตามที่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้แถลงเท่ากับเป็นการตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องทางศาล โดยการฟ้องคดีแพ่งและขอพิสูจน์หนี้ในคดีล้มละลายต่อเนื่องเกี่ยวโยงกันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดต่อเนื่องกันไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 173 หาเป็นเหตุให้อายุความไม่สะดุดหยุดลงตามมาตรา174 ไม่ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 12/2508)

ย่อยาว

ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้(จำเลย) ล้มละลาย บริษัทคลังสินค้าวิบูลสถิต จำกัด เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามเช็ค 4 ฉบับ

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนเสนอความเห็นว่า เช็ค 4 ฉบับนี้เมื่อถึงกำหนดวันสั่งจ่ายเจ้าหนี้รับเงินที่ธนาคารไม่ได้แล้วต่อมาจึงได้ดำเนินคดีกับลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเมื่อฟ้องคดีแพ่งแล้วทราบว่าลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงมายื่นคำขอรับชำระหนี้รายนี้พิจารณาวันที่ลงในเช็คแล้ว เช็คเลขที่ บ.394150 เท่านั้นที่ยังไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 จึงเห็นว่า เจ้าหนี้ควรได้รับชำระหนี้ตามเช็คเลขที่ บ.394150 เป็นเงิน 100,000 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 130(8), 107(3) ส่วนหนี้ตามเช็คอีก3 ฉบับ 300,000 บาท ขาดอายุความให้ยกเสีย

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเห็นชอบ

ผู้ร้องขอรับชำระหนี้อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องขอรับชำระหนี้ฎีกาว่า เช็คทั้ง 3 ฉบับของผู้ร้องฯ ยังไม่ขาดอายุความ

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ร้องขอรับชำระหนี้ได้ฟ้องลูกหนี้เป็นจำเลย (คดีแพ่งดำที่ 1169/2500 แดงที่ 1868/2500) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2500 คดีนี้ฟ้องภายหลังเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2500 ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2500 ต่อมาวันที่ 20 สิงหาคม 2500 เป็นวันนัดสืบพยานคดีดำที่ 1169/2500 ทนายโจทก์คดีดังกล่าวแถลงศาลว่า ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2500 แล้ว ศาลสั่งให้นัดโจทก์จำเลยและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มาพร้อมกันในวันที่ 28 เดือนนั้น ครั้นถึงวันนัด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ไปศาลตามนัดศาลสอบทนายโจทก์ ทนายโจทก์แถลงว่าขอถอนฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 (ลูกหนี้) เพื่อไปดำเนินการขอรับชำระหนี้ทางเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อไป จำเลยที่ 2 ในฐานะประธานกรรมการจำเลยที่ 1 ไม่คัดค้าน ศาลจึงสั่งอนุญาต วันที่ 4 กันยายน 2500 ผู้ร้องก็ได้ร้องขอรับชำระหนี้รายนี้ ดังนี้ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการที่ผู้ร้องใช้ถ้อยคำว่า ถอนฟ้องเพื่อไปดำเนินการขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้น แสดงให้เห็นว่าผู้ร้องมิได้เจตนาที่จะถอนฟ้องไปเสียเลยโดยเด็ดขาดตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 174 ที่ว่า “คดีนั้นได้ถอนเสีย” หากเป็นเพียงว่าผู้ร้องแสดงเจตนาที่จะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายทางเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ทางเดียว จะได้ไม่เป็นการยุ่งยากทางคดีแพ่งสามัญต่อไป เพราะเหตุที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มาศาลตามนัดเสียเฉย ๆอย่างไรก็ดี คดีแพ่งสามัญจะดำเนินไปหรือไม่ก็ตามที และศาลก็ได้อนุญาตตามที่ผู้ร้องแถลงแล้วด้วย เท่ากับเป็นการตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องทางศาลโดยการฟ้องคดีแพ่งและขอพิสูจน์หนี้ในคดีล้มละลายต่อเนื่องเกี่ยวโยงกันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดต่อเนื่องกันไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 173 หาเป็นเหตุให้อายุความไม่สะดุดหยุดลงตามมาตรา 174 ไม่พิพากษากลับอนุญาตให้บริษัทคลังสินค้าวิบูลสถิตจำกัดเจ้าหนี้ผู้ร้องขอรับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้ตามเช็คทั้ง 3 ฉบับ เลขที่ บ.394131, 394140, 394141 เต็มจำนวนฉบับละหนึ่งแสนบาท

Share