แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บิดาโจทก์ตาย บิดาจำเลยมิใช่บุตรบิดาโจทก์ และไม่มีสิทธิรับมรดกบิดาโจทก์ แต่ได้ไปไถ่นาพิพาท(มีโฉนดซึ่งบิดาโจทก์จำนองไว้) เอามาเป็นของตนและได้ไปแจ้งความเท็จว่าเป็นบุตรบิดาโจทก์ มีสิทธิรับมรดก เจ้าพนักงานหลงเชื่อโอนใส่ชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดและบิดาจำเลยได้ครอบครองอย่างถือตนเป็นเจ้าของโดยฝ่ายโจทก์รู้เห็นและมิได้โต้แย้งหรือขัดขวางตลอดมา เป็นเวลากว่า 30 ปี ดังนี้ถือได้ว่า บิดาจำเลยครอบครองนาพิพาทโดยสงบและเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2508)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายทาบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมมา 37 ปีแล้ว มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่นาโฉนดที่ 748 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2460 ได้จำนองที่นาดังกล่าวแก่นางขอมที่หอทะเบียนที่ดินเป็นเงิน 150 บาทมอบนาให้นางขอมทำกินต่างดอกเบี้ย เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2504 โจทก์ทราบว่า นายจ้อมบิดาจำเลยได้ขอรับมรดกนาพิพาทตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2469 โดยนายจ้อมแจ้งต่อพนักงานที่ดินว่านายจ้อมเป็นบุตรนายทานายจ้อมถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2503จำเลยได้ครอบครองนาพิพาทต่อมาขอให้พิพากษาว่าการโอนรับมรดกที่นาพิพาทของนายจ้อมเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนเสียและขอให้พิพากษาแสดงว่าโจทก์เป็นทายาทนายทา ให้เจ้าพนักงานที่ดินโอนโฉนดใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ต่อไป และให้จำเลยออกจากนาพิพาท
จำเลยให้การว่า นายทาจำนองที่นาพิพาทไว้กับนางขอมจริงนายจ้อมบิดาจำเลยเป็นบุตรนายทาได้นำเงิน 250 บาทไปไถ่จำนองนางขอมคืนโฉนดที่ดินให้ นายจ้อม แต่ยังไม่ทันจดทะเบียนไถ่จำนองนางขอมตายเสียก่อนวันที่ 24 พฤษภาคม 2469 นายจ้อมบิดาจำเลยร้องขอรับมรดกต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ไม่มีผู้ใดคัดค้านเจ้าพนักงานโอนใส่ชื่อนายจ้อมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ นายจ้อมได้ครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของตลอดมา เป็นเวลากว่า 20 ปี แล้วยกให้จำเลยครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว จำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิเป็นเจ้าของที่พิพาท และคดีโจทก์ขาดอายุความมรดกแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยแถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาว่า นายจ้อมบิดาจำเลยไม่ใช่บุตรนายทา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการโอนมรดกที่นาพิพาทที่นายจ้อมบิดาจำเลยเป็นผู้รับมรดก และลงชื่อโจทก์เป็นผู้รับมรดกต่อไป กับให้จำเลยออกไปจากนาพิพาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นบุตรนายทา มีสิทธิรับมรดกนายทาจำเลยเป็นบุตรนายจ้อม นายจ้อมไม่ใช่บุตรนายทา ไม่มีสิทธิรับมรดก เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2460 นายทาจำนองนาพิพาทมีโฉนดไว้กับนางขอม ต่อมานายทาถึงแก่กรรม นายจ้อมนำเงินไปไถ่ นางขอมคืนโฉนดให้นายจ้อม แต่ไม่ได้จดทะเบียนไถ่ถอนจนบัดนี้ ต่อมาวันที่ 24 พฤษภาคม 2469 นายจ้อมได้ไปร้องขอรับมรดกโดยแจ้งเท็จว่าเป็นบุตรนายทา เจ้าพนักงานหลงเชื่อได้โอนใส่ชื่อนายจ้อมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ตั้งแต่นั้นมานายจ้อมได้เข้าครอบครองนาพิพาทอย่างเป็นเจ้าของ ฝ่ายโจทก์ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลก็รู้เห็น แต่มิได้โต้แย้งหรือขัดขวางประการใด นายจ้อมเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมานายจ้อมตายปี พ.ศ.2503 จำเลยจึงเข้าครอบครองต่อตลอดมา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายจ้อมบิดาจำเลยมิใช่บุตรของนายทา และไม่มีสิทธิรับมรดกนายทาแต่ได้ไปไถ่นาพิพาทเอามาเป็นของตน และต่อมาก็ได้ไปแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่านายจ้อมเป็นบุตรนายทา เป็นผู้มีสิทธิรับมรดกนายทา เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อได้โอนใส่ชื่อนายจ้อมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์นาพิพาทในโฉนด และนายจ้อมได้ครอบครองนาพิพาทอย่างถือตนเป็นเจ้าของโดยฝ่ายโจทก์ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลกันก็รู้เห็นและมิได้โต้แย้งหรือขัดขวางประการใดตลอดมาเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้วถือได้ว่านายจ้อมได้ครอบครองนาพิพาทโดยสงบและเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เมื่อนายจ้อมครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 30 ปี นายจ้อมก็ได้กรรมสิทธิ์ในนาพิพาทตามมาตรา 1382 เมื่อนายจ้อมตาย นาพิพาทก็ตกได้แก่จำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาท พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์