คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่โจทก์จำเลยตกลงท้ากันให้ถือเอาคำเบิกความของส. เป็นข้อแพ้ชนะในคดี ถือว่าเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 84(1) โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดเสียก่อน ถ้าผลแห่งการดำเนินกระบวนพิจารณานั้นเป็นประโยชน์ต่อคู่ความฝ่ายใด อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นทั้งหมดดังนั้น เมื่อ ส. เบิกความว่าน่าเชื่อว่าเส้นแนวเขตของแผนที่พิพาทส่วนที่จำเลยชี้น่าจะเป็นเส้นแนวเขตที่ถูกต้องซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของคำท้าทุกประการ โจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรับรองแนวเขตที่ดินที่ติดกับที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตกของโฉนดเลขที่ 6153 ตามแนวเขตที่ดินที่จำเลยทั้งสองและโจทก์ได้รับรองไว้เมื่อวันที่ 25กุมภาพันธ์ 2535 ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ขอให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าใช้จ่ายในการรังวัดจำนวน 30,200 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความที่โจทก์ต้องชดใช้แก่ผู้จะซื้อที่ยื่นฟ้องโจทก์จำนวน 60,000 บาท ค่าเสียหายจากการที่โจทก์ไม่ได้รับเงินตามสัญญาจะซื้อจะขายจำนวน 327,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว และชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จากการที่โจทก์ไม่อาจรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินเดือนละ 6,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จและรับรองแนวเขตที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี

จำเลยทั้งสองให้การว่า แผนที่ที่โจทก์อ้างยังไม่มีการรับรองแนวเขตว่าถูกต้อง ความจริงโฉนดเดิมของโจทก์มีอาณาเขตทางด้านทิศเหนือจรดคลองบางกรวย ทิศใต้จรดที่ดินของจำเลยที่ 1 กับผู้อื่นทิศตะวันออกจรดที่ดินของนายวิษณุ ลี้ตระกูลนำชัย ทิศตะวันตกจรดที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 ให้นางจิรวัลย์ เชื้อสุวรรณซึ่งเป็นน้องสาวโจทก์เช่า ต่อมาที่ดินของโจทก์ถูกถนนตัดผ่านกลางเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2543 และวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2535 จำเลยทั้งสองขอรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1 แต่ต้องยกเลิกเนื่องจากไม่สามารถตกลงกับโจทก์ได้ในเรื่องแนวเขตที่ดิน โจทก์สร้างตึกรุกล้ำแนวเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่ให้นางจิรวัลย์เช่าจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์จำเลยทั้งสองตกลงท้ากันว่าหากนายสมพุทธ จองมั่นคง ผู้จำลองแผนที่พิพาทเอกสารหมายจล.1 เบิกความโดยนำแผนที่พิพาท เอกสารหมาย จล.1 มาดูเปรียบเทียบกับรูปจำลองแผนที่ของที่ดินโฉนดเลขที่ 6153 ตำบลวัดชลอ (บางกรวยฝั่งใต้) อำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี ของโจทก์แล้วมีความเห็นว่าหรือน่าเชื่อว่าเส้นแนวเขตตามแผนที่พิพาทส่วนที่โจทก์นำชี้หรือส่วนที่จำเลยนำชี้ เส้นแนวเขตไหนน่าจะเป็นเส้นแนวเขตที่ถูกต้องคู่ความต่างยอมรับให้เป็นไปตามนั้น หากเส้นแนวเขตส่วนที่โจทก์นำชี้ถูกต้องจำเลยยอมแพ้คดี หากส่วนที่จำเลยนำชี้ถูกต้อง โจทก์ยอมแพ้คดี และคู่ความต่างแถลงสละประเด็นข้อพิพาทอื่นทั้งหมด

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ความปรากฏต่อศาลฎีกาว่า จำเลยที่ 2ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2543 บัดนี้พ้นกำหนดหนึ่งปีแล้ว ไม่ปรากฏว่าผู้ใดมีคำขอเข้าเป็นคู่ความแทน หรือคู่ความฝ่ายใดมีคำขอให้ศาลหมายเรียกผู้ใดเข้าเป็นคู่ความแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 เห็นสมควรให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 เสียจากสารบบความของศาลฎีกาจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เท่านั้นข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ก่อนจะมีการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทำแผนที่พิพาท โดยให้เจ้าพนักงานที่ดินระบุรายละเอียดเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินที่พิพาท รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งเพาะปลูกบนดินรวมทั้งสิ่งอื่นใดตามที่เจ้าพนักงานที่ดินเห็นสมควร เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาคดี เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาทเสร็จแล้วศาลได้ให้คู่ความทั้งสองฝ่ายตรวจดู ต่างรับรองว่าแผนที่พิพาทถูกต้องและอ้างเป็นพยานร่วมกันตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จล.1 และคู่ความได้ท้ากันว่าเอาคำเบิกความของนายสมพุทธ จองมั่นคง เจ้าพนักงานที่ดินผู้จำลองแผนที่พิพาท เป็นข้อแพ้ชนะในคดีหากนายสมพุทธนำแผนที่พิพาทเปรียบเทียบกับรูปจำลองแผนที่ของที่ดินโฉนดเลขที่ 6153 ตำบลวัดชลอ (บางกรวยฝั่งใต้) อำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แล้วนายสมพุทธเห็นว่าหรือน่าเชื่อว่าเส้นแนวเขตตามแผนที่พิพาทส่วนที่โจทก์นำชี้หรือส่วนที่จำเลยนำชี้แนวเขตไหนน่าจะเป็นเขตที่ถูกต้องคู่ความยอมรับตามนั้น หากเส้นแนวเขตที่โจทก์นำชี้ถูกต้องจำเลยยอมแพ้คดี หากส่วนที่จำเลยนำชี้ถูกต้องโจทก์ยอมแพ้คดีและคู่ความต่างแถลงสละประเด็นพิพาททั้งหมด ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลจังหวัดนนทบุรี ลงวันที่ 29เมษายน 2541 ต่อมานายสมพุทธเบิกความต่อศาลว่า น่าเชื่อว่าเส้นแนวเขตตามแผนที่พิพาทส่วนที่จำเลยนำชี้น่าจะเป็นแนวเขตที่ถูกต้อง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีตามคำท้าเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยฎีกาของโจทก์สรุปใจความได้ว่า การที่นายสมพุทธเบิกความว่าน่าเชื่อว่าเส้นแนวเขตตามแผนที่ส่วนที่จำเลยนำชี้น่าจะเป็นเส้นแนวเขตที่ถูกต้องนั้นเป็นการเบิกความอย่างไม่ได้มั่นใจจึงไม่อาจอาศัยข้อเท็จจริงตามคำเบิกความดังกล่าวพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ เห็นว่า การที่โจทก์จำเลยตกลงท้ากันให้ถือเอาคำเบิกความของนายสมพุทธเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนั้น ถือว่าเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 84(1) โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดเสียก่อน ถ้าผลแห่งการดำเนินกระบวนพิจารณานั้นเป็นประโยชน์ต่อคู่ความฝ่ายใด อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นทั้งหมด เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่านายสมพุทธเบิกความว่าน่าเชื่อว่าเส้นแนวเขตของแผนที่พิพาทส่วนที่จำเลยชี้น่าจะเป็นเส้นแนวเขตที่ถูกต้องซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของคำท้าทุกประการ โจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความของศาลฎีกา

Share