แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยมีพฤติกรรมอย่างไรที่แสดงว่าจะนำยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ของกลางไปจำหน่ายหรือไปขาย นอกจากนั้นตามคำให้การของผู้ต้องหาที่ 1ก็ได้ความว่าเพื่อน ๆ ร่วมกันมอบเงินให้จำเลยไปหาซื้อยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์เพื่อนำไปเสพด้วยกันที่งานแต่งงานเพื่อนคนหนึ่งหาใช่จำเลยจำหน่าย จ่าย แจก หรือขายให้เพื่อนไม่พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอที่จะให้รับฟังว่าจำเลยมีความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อขาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13, 62, 89, 106 ทวิ, 116 ริบของกลางและริบเอ็น เอทิล เอ็มดีเอ ของกลาง ให้แก่กระทรวงสาธารณสุขและนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 7660/2539 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 13, 62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ, 116 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 6 ปี ฐานร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 6 ปีฐานร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อขายและเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและมีอัตราโทษเท่ากันให้ลงโทษฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อขายจำคุกคนละ 8 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 14 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 9 ปี 4 เดือน ยกคำขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 7660/2539หมายเลขแดงที่ 5005/2541 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาให้รอการลงโทษ ริบของกลาง และริบเอ็น เอทิลเอ็มดีเอ ของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15วรรคหนึ่ง, 67 พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่ง, 106 ทวิ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครอง จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 ไว้ในครอบครองและเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 เกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90จำคุกคนละ 5 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ และจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 2ว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 ของกลางเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ โจทก์มีนายดาบตำรวจชูชาติ เก่งจันทร์วรกุล และจ่าสิบตำรวจพิทักษ์ ผลละออ เป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าวันเกิดเหตุพยานทั้งสองเฝ้าสังเกตการณ์ที่หน้าธนาเพลสคอนโดมิเนียมตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาอยู่นานประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เห็นจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์มาจอดที่หน้าธนาเพลสคอนโดมิเนียม โดยมีจำเลยที่ 2 นั่งมาด้วย จำเลยทั้งสองนั่งอยู่ในรถยนต์ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องเลขที่ 64/1 ธนาเพลสคอนโดมิเนียมและเข้าไปในรถยนต์ของจำเลยทั้งสองสักครู่หนึ่งผู้ชายคนนั้นก็ออกจากรถเดินกลับเข้าห้องพร้อมกับนับเงินไปด้วย ส่วนจำเลยทั้งสองขับรถออกไป พยานทั้งสองขับรถตามจำเลยทั้งสองไปจนถึงบริเวณทางเข้าหมู่บ้านปัฐวิกรณ์ ก็เข้าสกัดจับจำเลยทั้งสองพร้อมกับตรวจค้นพบยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ของกลางในรถชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุม และบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งกระทำการตามหน้าที่ไม่เคยรู้จักกับจำเลยที่ 2 มาก่อน ย่อมไม่มีเหตุผลใดที่จะเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 2 ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองก็ล้วนแต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขณะเข้าจับกุมจำเลยที่ 2 ไม่ได้นอนหลับดังที่จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ก็ให้การรับสารภาพว่าร่วมกับจำเลยที่ 1ไปซื้อยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ของกลางด้วยกัน เพื่อจะนำไปเสพในงานแต่งงานของเพื่อน แม้จำเลยที่ 2 จะนำสืบและฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจพูดจาหว่านล้อมก็เป็นข้ออ้างที่ขัดต่อเหตุผลอย่างยิ่ง เพราะจำเลยที่ 2 มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและอยู่ในกรุงเทพมหานคร ย่อมจะต้องรับทราบจากสื่อสารมวลชนประเภทต่าง ๆ ที่รณรงค์ต่อต้านยาเสพติดให้โทษว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษโดยเฉพาะผู้จำหน่ายจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยที่ 2 จะลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจพูดจาหว่านล้อม การที่จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ไปหาซื้อยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ เมื่อซื้อได้แล้วก็ร่วมกันนำไปเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ครอบครองยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ของกลาง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 1.85 กรัมเกินปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดอันเป็นความผิดฐานมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อขายหรือไม่โจทก์มีพันตำรวจโทชาตรี ไพศาลศิลป์ ร้อยตำรวจโทไพรวัน ทัพวงศ์นายดาบตำรวจชูชาติ เก่งจันทร์วรกุล และจ่าสิบตำรวจพิทักษ์ ผลละออเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อจับจำเลยทั้งสองพร้อมยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ของกลางแล้ว ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพว่าจะนำยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ไปให้เพื่อน ๆ เสพในงานแต่งงานของเพื่อนคนหนึ่งที่จังหวัดชุมพรนั้น เห็นว่า ข้อความที่พยานโจทก์เบิกความในเรื่องที่ว่าจำเลยทั้งสองให้การอย่างไรเป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักให้รับฟังน้อยทั้งโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีพฤติกรรมอย่างไรที่แสดงว่าจะนำยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ของกลางไปจำหน่ายหรือไปขาย นอกจากนั้นตามคำให้การของผู้ต้องหาที่ 1เอกสารหมาย จ.5 ก็ได้ความว่าเพื่อน ๆ ร่วมกันมอบเงินให้จำเลยทั้งสองไปหาซื้อยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์เพื่อนำไปเสพด้วยกันที่งานแต่งงานเพื่อนคนหนึ่งที่จังหวัดชุมพร หาใช่จำเลยทั้งสองจำหน่าย จ่าย แจก หรือขายให้เพื่อนไม่ พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอที่จะให้รับฟังว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อขายที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาโจทก์และฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน