แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 อ้างแก่โจทก์ว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบริษัทประกอบกิจการขายรถยนต์ จำเลยที่ 1 ได้ออกหนังสือรับรองการจำหน่ายรถยนต์ซึ่งหัวกระดาษเป็นชื่อของจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และลูกค้าทั่ว ๆ ไป ที่มาซื้อรถยนต์ จำเลยที่ 2 ทราบแต่ไม่ได้ทักท้วงหรือสั่งห้ามจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด ทั้งจำเลยที่ 2 ยังได้ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ซึ่งประกอบกิจการขายรถยนต์เช่นเดียวกับจำเลยที่ 2 ในประการที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 จะนำรถยนต์พิพาทขายแก่บุคคลทั่ว ๆ ไป พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 รู้แล้วยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 เมื่อโจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต จำเลยที่ 2 จึงต้อง รับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบหลักฐานใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ แบบกระบะ สีเขียว หมายเลขเครื่อง เอฟ – ๑๐๘๖๗ หมายเลขตัวถัง เอ ๙๑๓๙๐๐๘ ให้แก่โจทก์ หากไม่สามารถส่งมอบได้ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๓๓๘,๕๙๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ส่งมอบหลักฐานใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์คันพิพาท ให้แก่โจทก์ หากส่งมอบไม่ได้ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๓๓๘,๕๙๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๐) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๓๙ โจทก์ได้ซื้อรถยนต์กระบะคันพิพาท ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ จากจำเลยที่ ๑ ในราคา ๓๓๒,๐๐๐ บาท โดยชำระราคาครบถ้วน และรับรถยนต์คัน ดังกล่าวจากจำเลยที่ ๑ ไปแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมส่งมอบหลักฐานทางทะเบียน และใบคู่มือจดทะเบียนให้แก่โจทก์ คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ในการขายรถยนต์พิพาทให้ แก่โจทก์หรือไม่ พยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อโจทก์ซื้อรถยนต์คันพิพาทโดยชำระราคาครบถ้วนและรับรถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ ๑ มาแล้ว จำเลยที่ ๑ แจ้งว่าหลักฐานทางทะเบียนและใบคู่มือจดทะเบียนนั้นอยู่ที่จำเลยที่ ๒ เนื่องจากจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนขายรถยนต์ให้แก่จำเลยที่ ๒ ต้องใช้เวลาประมาณ ๑ เดือน โจทก์จึงจะได้รับ ระหว่างรอหลักฐานจำเลยที่ ๑ ออกหนังสือรับรองการจำหน่ายรถยนต์ให้แก่โจทก์ และจากคำเบิกความของพยานจำเลยที่ ๒ ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ แจ้งว่าหลักฐานทางทะเบียนและใบจดทะเบียนนั้นอยู่ที่จำเลยที่ ๒ ต้องรอให้จำเลยที่ ๒ ส่งมาก่อน เนื่องจากจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ให้แก่จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ได้ออกหนังสือรับรองการจำหน่ายรถยนต์ให้แก่โจทก์ หนังสือฉบับนี้เป็นของจำเลยที่ ๒ แม้ว่าจำเลยที่ ๒ จะปฏิเสธ แต่ตามพฤติการณ์เชื่อว่าจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จะต้องทำ การค้ารถยนต์กันมานาน หากจำเลยที่ ๑ ออกใบรับรองซึ่งหัวกระดาษเป็นชื่อของจำเลยที่ ๒ ให้แก่ลูกค้าทั่ว ๆ ไป จำเลยที่ ๒ ก็น่าจะทราบ หากจำเลยที่ ๒ ไม่เชิดหรือยอมให้จำเลยที่ ๑ เชิดตัวเองเป็นตัวแทนจำเลยที่ ๒ แล้ว จำเลยที่ ๒ ก็น่าจะต้องทักท้วงหรือสั่งห้ามจำเลยที่ ๑ ไม่ให้กระทำเช่นนั้น ดังนี้ เห็นว่า การที่จำเลยที่ ๒ ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ ซึ่งประกอบกิจการขายรถยนต์เช่นเดียวกับจำเลยที่ ๒ ในประการที่เห็นได้ว่า จำเลยที่ ๑ จะนำรถยนต์พิพาทไปขายแก่บุคคลทั่ว ๆ ไป พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่า จำเลยที่ ๒ รู้แล้วยอมให้จำเลยที่ ๑ เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ อีกเช่นกัน เมื่อโจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ ๑ โดยสุจริต จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ ๒ ส่งมอบหลักฐานใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ ยี่ห้ออีซูซุ แบบกระบะสีเขียว หมายเลขเครื่อง เอฟ – ๑๐๘๖๗ หมายเลขตัวถัง เอ-๙๑๓๙๐๐๘ ให้แก่โจทก์ หากส่งมอบไม่ได้ ให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินจำนวน ๓๓๘,๕๙๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๐) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ