แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาว่าผู้รับมอบอำนาจฟ้องตามใบมอบอำนาจหรือไม่ และการที่โจทก์มิได้ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองนั้นเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 3(ผู้ฎีกา) ย่อมอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์ฎีกาได้
ปัญหาเกี่ยวกับใบมอบอำนาจที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็วินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
ใบมอบอำนาจของโจทก์มีข้อความมอบอำนาจให้ ส.ให้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีต่อลูกหนี้ให้ส่งมอบทรัพย์สินและใช้ค่าเสียหายมีความหมายถึงให้ฟ้องและดำเนินคดีต่อจำเลยที่ 3 ผู้ยึดถือรถยนต์ของโจทก์ให้ส่งมอบรถยนต์และใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้
แม้ร้านค้าของจำเลยที่ 3 อยู่ในชุมชนการค้า แต่การที่จำเลยที่ 3 ซื้อรถยนต์พิพาทของโจทก์ที่ให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อไปจาก ศ.ซึ่งเอามาขายให้ที่ที่ร้านค้าของจำเลยที่ 3 นั้น จำเลยที่ 3 มิได้ซื้อจากร้านค้าใดร้านค้าหนึ่งที่อยู่ในชุมชนการค้าแต่เป็นการซื้อจากบุคคลที่เอามาขายให้ที่ร้านค้าของจำเลยที่ 3 เอง จึงไม่เป็นการซื้อในท้องตลาดดังนั้นจำเลยที่ 3 จะสุจริตหรือไม่ก็เป็นเหตุให้ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332
การฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 หมายถึงผู้ที่มีเพียงสิทธิครอบครองในทรัพย์สินฟ้องเรียกเอาทรัพย์สินนั้นคืนจึงต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง แต่รถยนต์คันพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์มีสิทธิติดตามเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ได้เสมอโดยไม่มีอายุความ จึงจะนำมาตรา 1375 มาใช้บังคับไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยทั้งสองผิดนัดผิดสัญญา โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแล้ว ต่อมาโจทก์ทราบว่ารถยนต์ของโจทก์อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 3ไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะยึดถือรถยนต์คันนั้นไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทวงถามจำเลยที่ 3 ไม่คืนให้ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ส่งมอบรถยนต์ให้แก่โจทก์ หากไม่ส่งมอบก็ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ราคารถยนต์ 75,400 บาทและร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 43,240 บาท และต่อจากวันฟ้องอีกเดือนละ1,880 บาท จนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ค้าของเก่าทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์เป็นปกติธุระ มีร้านตั้งอยู่ในที่ชุมชนการค้า จึงถือว่าตั้งอยู่ในท้องตลาดตามกฎหมาย จำเลยที่ 3 ซื้อรถยนต์คันพิพาทจากนายศิริจันทนา ในท้องตลาด จึงมีสิทธิยึดรถยนต์ไว้จนกว่าโจทก์จะชดใช้ราคาที่ซื้อมาโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 3 คดีโจทก์ที่เรียกค่าเสียหายขาดอายุความ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ส่งมอบรถยนต์คันพิพาทให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากไม่สามารถคืนได้ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ราคา 35,520 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 1,880 บาท นับตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2513 จนถึงวันที่ 2 เมษายน 2514 ต่อจากนั้นให้จำเลยที่ 3 ร่วมใช้ค่าเสียหายในอัตราดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้แก่โจทก์ด้วย นับตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2514 จนกว่าจะส่งมอบหรือใช้ราคาให้โจทก์
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าร้านค้าของจำเลยอยู่ในชุมนุมการค้าก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 3 ซื้อรถยนต์จากนายศิริซึ่งเอามาขายให้ที่ร้านค้าของจำเลยที่ 3 นั้น หาใช่เป็นการที่จำเลยที่ 3 ซื้อรถยนต์ในท้องตลาดไม่เพราะจำเลยที่ 3 มิได้ซื้อจากร้านค้าใดร้านค้าหนึ่งที่อยู่ในชุมนุมการค้า แต่เป็นการซื้อจากบุคคลที่เอามาขายให้ที่ร้านค้าของจำเลยที่ 3 เอง จึงไม่เป็นการซื้อในท้องตลาด เมื่อจำเลยที่ 3 มิได้ซื้อรถยนต์คันพิพาทในท้องตลาดแล้ว และคดีไม่มีประเด็นว่าจำเลยที่ 3 ได้ซื้อจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นหรือไม่ ดังนั้นจำเลยที่ 3 จะสุจริตหรือไม่ ก็ไม่เป็นเหตุให้ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 จำเลยที่ 3 ต้องคืนรถยนต์คันพิพาทให้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของซึ่งมีสิทธิติดตามเอาคืนจากผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ได้ ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336
สำหรับฎีกาข้อที่ 2 ของจำเลยที่ 3 นั้นแม้จำเลยที่ 3 จะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การก็ตาม แต่เป็นข้อที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดตามมาตรา 1375 จึงเป็นอ้างเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ และเห็นว่ารถยนต์คันพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิติดตามเอาคืนตามมาตรา 1336 ได้เสมอโดยไม่มีอายุความ ส่วนมาตรา 1375 ที่จำเลยที่ 3 อ้างนั้นเป็นการฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครอง ซึ่งหมายถึงผู้ที่มีเพียงสิทธิครอบครองในทรัพย์สินฟ้องเรียกเอาทรัพย์สินนั้นคืนเท่านั้น จึงต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง กรณีของโจทก์คดีนี้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจึงจะนำมาตรา 1375 มาใช้บังคับมิได้
ส่วนฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยที่ 3 เกี่ยวกับใบมอบอำนาจนั้น แม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้วินิจฉัยให้ โดยเห็นว่าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้และศาลชั้นต้นมิได้กะเป็นประเด็นนำสืบไว้ก็ตาม แต่ศาลฎีกาเห็นว่าปัญหาว่าผู้รับมอบอำนาจจะมีอำนาจฟ้องตามใบมอบอำนาจหรือไม่นั้นเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 3 จึงชอบที่จะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์และฎีกาได้ และศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้ก่อน และเห็นว่าใบมอบอำนาจของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.9 นั้น มีข้อความมอบอำนาจให้นายโสภณ ดวงจิตต์งามมีอำนาจที่จะดำเนินการฟ้องคดีและดำเนินคดีแทนในนามของโจทก์ต่อลูกหนี้ทั้งหลายตลอดจนผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ยังศาลใด ๆ ที่มีเขตอำนาจเพื่อขอให้ศาลบังคับให้บุคคลดังกล่าวทำการชำระหนี้ชำระเงินใช้ค่าเสียหาย ส่งมอบทรัพย์สิน ใช้เงินค่าดอกเบี้ย หรือเงินค่าอื่นใดอันจำเป็นต้องใช้เนื่องจากการเป็นหนี้อยู่แก่โจทก์ ฯลฯ ข้อความที่ว่าให้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีต่อลูกหนี้ทั้งหลายให้ส่งมอบทรัพย์สินและใช้ค่าเสียหายนั้น ย่อมมีความหมายกว้างพอที่จะหมายถึงให้ฟ้องและดำเนินคดีต่อจำเลยที่ 3ผู้ยึดถือรถยนต์ของโจทก์และจะต้องส่งมอบรถยนต์และใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ด้วย นายโสภณ ดวงจิตต์งาม ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ได้
พิพากษายืน