คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1927/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1250,1253,1254 และ 1255 บัญญัติถึงหน้าที่ของผู้ชำระบัญชีไว้ และตามพระราชบัญญัติ กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ พ.ศ. 2499 บัญญัติถึงความรับผิดทางอาญาเกี่ยวกับการชำระบัญชีเป็นความผิดของผู้ชำระบัญชีมีบทลงโทษตามมาตรา 32,33 และ 35 โจทก์เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลซึ่งศาลได้พิพากษาให้เลิกห้างหุ้นส่วนแล้ว และตั้งให้จำเลยเป็นผู้ชำระบัญชี โจทก์มีผลประโยชน์ได้เสียในห้างหุ้นส่วนอยู่ซึ่งผลประโยชน์ของโจทก์จะได้ผลประการใดนั้นอยู่ที่ผู้ชำระบัญชีจะต้องปฏิบัติตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติไว้ให้กระทำ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีไม่กระทำการตามที่ กฎหมายบังคับไว้ดังกล่าวแล้ว ย่อมเห็นได้ว่าทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์จึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะฟ้องผู้ชำระบัญชีในทางอาญาเกี่ยวแก่ความผิดต่อพระราชบัญญัตินั้นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลธ. ถาวรกิจก่อสร้าง มีจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้หนึ่ง ต่อมาศาลแพ่งได้พิพากษาตามยอมให้เลิกห้างหุ้นส่วนและตั้งให้จำเลยที่ 3 กับนายสมนึกเป็นผู้ชำระบัญชี หลังจากศาลพิพากษาให้เลิกห้างแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันยักยอกที่ดินและตึกแถวของห้างหุ้นส่วน โดยร่วมกันจัดการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้มีชื่อ แล้วร่วมกันเบียดบังเอาเงินที่ขายได้ไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่นำลงในบัญชีรายรับ และหลังจากศาลพิพากษาให้เลิกห้างจนถึงวันฟ้อง จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ชำระบัญชีและผู้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของห้างได้กระทำผิดหน้าที่โดยยินยอมให้จำเลยทั้งสองเบียดบังเอาเงินที่ขายทรัพย์สินได้ไปเป็นประโยชน์เสีย ทั้งยังได้บังอาจละเลยไม่ส่งคำบอกกล่าวการเลิกห้างหุ้นส่วนไปยังเจ้าหนี้ทั้งหลายภายใน14 วัน นับแต่วันเลิกห้างไม่ทำการจดทะเบียนเลิกห้างภายใน 14 วัน ไม่ทำงบดุลย์ส่งให้ผู้สอบบัญชีรับรองว่าถูกต้อง ไม่เรียกประชุมใหญ่ ไม่ทำรายงานทำให้ห้างหุ้นส่วนและโจทก์ผู้เป็นหุ้นส่วนเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353, 354, 83, 90 พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 32, 33, 35(1)(2)(3)

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า คดีโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2ยักยอกทรัพย์สินของห้างไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว และคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3มีความผิดตามฟ้องโจทก์ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยทั้งสามไม่มีเจตนาที่จะร่วมกันยักยอกทรัพย์สินของห้างไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ส่วนข้อหาสำหรับจำเลยที่ 3 เกี่ยวกับพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ นั้น เห็นว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ความผิดดังกล่าวนี้เป็นความผิดต่อแผ่นดินซึ่งเป็นหน้าที่ของพนักงานอัยการจะฟ้องโจทก์ซึ่งเป็นราษฎรไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทางอาญาได้ พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อ 2 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย

คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาตามฎีกาข้อ 2 เพียงว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 เกี่ยวแก่ความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1250 บัญญัติว่า หน้าที่ของผู้ชำระบัญชีคือชำระสะสางการงานของห้างหุ้นส่วนนั้นให้เสร็จไปกับจัดการใช้หนี้เงินและแจกจ่ายจำหน่ายทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น ย่อมหมายความว่าเป็นหน้าที่ทั่วไปของผู้ชำระบัญชีจะต้องชำระสะสางการงานของห้างหุ้นส่วนนั้นให้เสร็จไป คือจัดการเรื่องหนี้สินของห้างหุ้นส่วน ถ้ายังมีเงินเหลือ ก็ให้จัดการคืนทุนและแบ่งเงินปันผลให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นแล้วแต่กรณี ซึ่งในการจัดการเพื่อให้เสร็จผลตามนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1253 ได้บัญญัติว่า ภายในสิบสี่วันนับแต่ได้เลิกห้างหรือถ้าศาลได้ตั้งผู้ชำระบัญชีนับแต่วันที่ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีจะต้องกระทำการคือส่งคำบอกกล่าวไปยังเจ้าหนี้ทั้งหลายทุก ๆ คนของห้างและมาตรา 1254 บัญญัติว่าการเลิกห้างหุ้นส่วนนั้น ผู้ชำระบัญชีต้องนำบอกให้จดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่เลิกกัน และมาตรา 1255บัญญัติว่าผู้ชำระบัญชีจะต้องทำงบดุลย์ขึ้นโดยเร็วที่สุดที่เป็นวิสัยจะทำได้ ส่งให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบลงสำคัญว่าถูกต้องแล้วต้องเรียกประชุมใหญ่ ซึ่งการที่ผู้ชำระบัญชีไม่กระทำดังกล่าวนั้น ตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. 2499ได้บัญญัติความรับผิดทางอาญาเกี่ยวกับการชำระบัญชีเป็นความผิดของผู้ชำระบัญชีไว้ ตามมาตรา 32, 33 และ 35 เป็นบทลงโทษการที่โจทก์เป็นหุ้นส่วนดังกล่าว มีผลประโยชน์ได้เสียของห้างหุ้นส่วนอยู่ ซึ่งผลประโยชน์ของโจทก์จะได้ผลประการใดนั้น อยู่ที่ผู้ชำระบัญชีจะต้องปฏิบัติตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติไว้ให้กระทำ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีไม่กระทำการตามที่กฎหมายบัญญัติบังคับไว้ดังกล่าวแล้ว ย่อมเห็นได้ว่าทำให้โจทก์ผู้เป็นหุ้นส่วนได้รับความเสียหายอยู่ด้วย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะฟ้องจำเลยที่ 3 ในทางอาญาเกี่ยวแก่ความผิดต่อพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิพ.ศ. 2499 ได้ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา แต่เนื่องจากมีข้อโต้เถียงกันอยู่ว่าจำเลยที่ 3 ได้กระทำผิดในเหตุที่โจทก์กล่าวอ้างตามคำฟ้องหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการสมควรที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวเสียก่อน

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามประเด็นดังกล่าวข้างต้น

Share