คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1656/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า วัดจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้รุกล้ำเข้าไปปลูกสร้างวัดและกำแพงเขตของวัดจำเลยที่ 1 ในที่ดินมีโฉนดของโจทก์กับญาติโดยไม่สุจริต ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยกับบริวารให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและคืนที่ดินให้โจทก์ ทางพิจารณาฟังได้ว่าโจทก์ได้อุทิศที่พิพาทให้แก่วัดจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ก่อนวัดจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ลงมือสร้างวัดจำเลยที่ 1 ขึ้นใหม่ดังนี้ กรณีไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 525 ดังฎีกาของโจทก์ และเมื่อวัดจำเลยที่ 1 วางศิลาฤกษ์ สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญอาคารถาวรโจทก์ทราบและไม่คัดค้าน แสดงว่าโจทก์ยินยอมให้วัดจำเลยที่ 1 จำเลย ที่ 2 กระทำเช่นนั้น ฟังได้ว่าโจทก์ได้สละที่พิพาทให้แก่วัดจำเลยที่ 1 แล้ว ยังฟังไม่ได้ว่าวัดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้รุกล้ำเข้าไปปลูกสร้างวัดและกำแพงเขตวัดจำเลยที่ 1 ในที่ดินของโจทก์กับญาติโดยไม่สุจริต รูปคดีกลับเชื่อว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิฟ้องจำเลยโดยไม่สุจริต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับญาติเป็นเจ้าของที่ดินนาโฉนดที่ 1909 เมื่อปี2504 วัดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 กับบริวารได้รุกล้ำเข้าไปปลูกที่พักอาศัยชั่วคราวในที่ดินนาแปลงนี้และขออาศัยชั่วคราว อ้างว่าจะสร้างวัดกลางทุ่ง(ร้าง) จำเลยที่ 1 ขึ้นใหม่ โจทก์ยินยอมต่อมาเดือนพฤศจิกายน 2509โจทก์กับผู้มีชื่อในโฉนดนี้ร่วมกันได้ขายที่ดินนาไปบางส่วนและลงชื่อผู้ซื้อในโฉนดร่วมกัน ครั้นเดือนมิถุนายน 2510 เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดแบ่งแยกที่ดิน ซึ่งได้ขายไป ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 กับบริวารได้สร้างวัดกลางทุ่ง (ร้าง) จำเลยที่ 1 ขึ้นใหม่ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กและกำแพงถาวรเรียกชื่อว่าวัดวชิรธรรมสาธิต รุกล้ำเข้าไปในที่ดินนาของโจทก์กับพวกดังกล่าว กว้าง 2 เส้นเศษ ยาว 3 เส้นเศษเนื้อที่ประมาณ 6 – 7 ไร่ โจทก์แจ้งให้วัดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ทราบว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของโจทก์ วัดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็นที่ดินของวัดจำเลยที่ 1 กรมศาสนาจำเลยที่ 3 ไม่จัดการให้ตามคำร้องเรียนของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาบังคับขับไล่จำเลยกับบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและคืนที่ดินนาให้โจทก์ ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 87,000 บาทและอื่น ๆ

วัดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า นายแดงหม้ายได้ขอออกโฉนดที่ 1909 ตามฟ้องเกินกว่าตราจองไปเป็นเนื้อที่ 21 ไร่2 งาน 88 วา จึงทับที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินของวัดกลางทุ่ง(ร้าง) จำเลยที่ 1 ซึ่งมีเนื้อที่ 12 ไร่เศษ โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ ในระหว่างวัดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ทำการก่อสร้างอาคารและกำแพงของวัดจำเลยที่ 1 โจทก์กับญาติไม่ได้คัดค้านได้มาฟ้องเป็นคดีเรื่องนี้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาเพิกถอนโฉนดที่ 1909แบ่งที่พิพาทเนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ให้วัดจำเลยที่ 1 ห้ามโจทก์กับบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และถ้าโฉนดที่ 1909 ไม่ได้ออกทับที่ของวัดกลางทุ่ง (ร้าง)จำเลยที่ 1 ก็ให้โจทก์เสียค่าอาคารและถาวรวัตถุซึ่งวัดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2ได้ปลูกสร้างในที่พิพาทเป็นเงิน 4,055,000 บาท

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินของวัดกลางทุ่ง (ร้าง) จำเลยที่ 1มีเนื้อที่ตามแผนที่ระวาง 4 – 4 ต, 7 – 8 อ 6 ไร่ 3 งาน 8 วา เท่านั้นวัดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ก่อสร้างอาคารถาวรวัตถุในที่พิพาทโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแย้ง

จำเลยที่ 3 ให้การว่ามีอำนาจหน้าที่ดูแลจัดการศาสนสมบัติของวัดกลางทุ่ง (ร้าง) จำเลยที่ 1 เมื่อปี 2506 ผู้มีชื่อได้ยื่นเรื่องราวต่อมหาเถรสมาคมและทางราชการขอยกวัดกลางทุ่ง (ร้าง) ขึ้นเป็นวัดมีพระสงฆ์ และจำเลยที่ 2 ได้ดำเนินการในเรื่องนี้จนได้รับอนุญาตเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2506 แล้ว จำเลยที่ 3 ก็หมดหน้าที่ จำเลยที่ 3ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3

ศาลชั้นต้นฟังว่า โฉนดที่ 1909 ไม่ได้ออกทับที่ดินของวัดกลางทุ่ง(ร้าง) จำเลยที่ 1 วัดจำเลยที่ 2 ได้สร้างวัดกลางทุ่ง (ร้าง) จำเลยที่ 1ขึ้นใหม่ในที่ดินของวัดกลางทุ่ง (ร้าง) จำเลยที่ 1 และภายในที่พิพาทซึ่งโจทก์ได้ตกลงอุทิศให้แก่วัดจำเลยที่ 1 ไม่ได้บุกรุก พิพากษายกฟ้องเมื่อวัดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาท ฟ้องแย้งย่อมตกไปในตัว

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้แน่นอนว่า โจทก์ได้อุทิศที่พิพาทให้แก่วัดจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ก่อนวัดจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ลงมือสร้างวัดจำเลยที่ 1 ขึ้นใหม่ ทั้งกรณีไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ดังฎีกาของโจทก์ด้วย และข้อที่โจทก์เบิกความว่า เมื่อวัดจำเลยที่ 1 วางศิลาฤกษ์ สร้างโบสถ์ วิหารศาลาการเปรียญ อาคารถาวร โจทก์ทราบและไม่คัดค้าน แสดงว่าโจทก์ยินยอมให้วัดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 กระทำเช่นนั้น ฟังได้ว่าโจทก์สละที่พิพาทให้แก่วัดจำเลยที่ 1 แล้ว ยังฟังไม่ได้ว่าวัดจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ได้รุกล้ำเข้าไปปลูกสร้างวัด และกำแพงเขตวัดจำเลยที่ 1ในที่ดินของโจทก์กับญาติโดยไม่สุจริต รูปคดีกลับเชื่อว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิฟ้องจำเลยโดยไม่สุจริต ดังคำให้การและฟ้องแย้งของวัดจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 อีกด้วย

พิพากษายืน

Share