คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2644/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาขายหน้าดินกันตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีข้อความว่า จำเลยได้ขายหน้าดินจำนวน 15 ไร่ ให้กับโจทก์ราคาไร่ละ 3,800 บาท ราคานี้จะต้องขุดภายในปี พ.ศ.2512. ถ้าขุดไม่หมด จะขุดต่อไปในปีหน้าจะต้องเพิ่มราคาเป็น 4,000 บาท โจทก์ได้วางมัดจำไว้ก่อนล่วงหน้าเป็นเงิน 20,000 บาท เมื่อทำสัญญากันดังกล่าวแล้ว ต่อมาจำเลยได้รับเงินค่าหน้าดินไปจากโจทก์อีก 20,000 บาท โจทก์ขุดหน้าดินไปได้เพียง 3 ไร่ โดยขุดใน พ.ศ.2513 แล้วไม่ได้ขุดอีก โดยโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ดังนี้ ในการวางเงินมัดจำกันดังกล่าวโจทก์จำเลยมิได้ตกลงเรื่องเงินมัดจำกันไว้เป็นอย่างอื่น กรณีจึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378. เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่ขุดหน้าดินให้เสร็จภายในกำหนดโดยโจทก์เป็นฝ่ายผิดโจทก์ย่อมได้ชื่อว่าได้ละเลยไม่ชำระหนี้ จำเลยผู้เป็นเจ้าของหน้าดินและรับมัดจำไว้จากโจทก์ ย่อมมีสิทธิที่จะริบมัดจำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาซื้อหน้าดินจากที่ดินของจำเลยเนื้อที่ 15 ไร่เศษ โดยขุดลึกไม่เกิน 40 เซนติเมตร ในราคาไร่ละ 3,800 บาท แต่ต้องขุดให้หมดภายในปี พ.ศ. 2512 หากขุดไม่หมดจำเลยยอมขยายเวลาให้ แต่คิดราคาเป็นไร่ละ 4,000 บาท ในวันทำสัญญาโจทก์ได้ชำระราคาบางส่วนให้จำเลย 20,000 บาท ต่อมาได้ชำระราคาให้อีก 4 ครั้งเป็นเงิน 20,000 บาท ประมาณเดือนพฤษภาคม 2512 โจทก์ได้แสดงความจำนงขอขุดหน้าดิน แต่จำเลยไม่ยอมให้ขุดให้รอเกี่ยวข้าวเสียก่อน ปลายปี พ.ศ. 2512 โจทก์จะขุดก็ขุดไม่ได้เพราะน้ำท่วม จนประมาณเดือนเมษายน 2513 จึงขุดได้เพียง 1 ไร่ แล้วจำเลยไม่ยอมให้ขุดอ้างว่าจะทำนา ต้นเดือนพฤศจิกายน 2513 โจทก์ขอขุดอีก จำเลยขอให้รอเกี่ยวข้าวก่อน เดือนธันวาคม 2513 จำเลยก็ว่าเกี่ยวข้าวยังไม่เสร็จ แต่พอถึงเดือนมกราคม 2514 โจทก์จะขุด จำเลยอ้างว่าหมดสัญญาแล้ว และแจ้งขอริบเงินทั้งหมดที่โจทก์ชำระให้ โจทก์ติดต่อจำเลยอีกหลายครั้งเพื่อขอขุด จำเลยก็ปฏิเสธ ทำให้โจทก์ขาดกำไรจากการขายดิน 49,280 บาท หักออกแล้วจำเลยจะต้องคืนเงิน 36,000 บาทให้โจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยคืนเงิน 36,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และใช้ค่าเสียหาย 49,280 บาทให้โจทก์

จำเลยให้การว่า ขายหน้าดินให้โจทก์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะขุดได้ตลอดไปทุก ๆ ปีจนครบจำนวนเนื้อที่ดิน ไม่เคยขยายเวลาให้โจทก์ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ขุดให้เสร็จตามกำหนดโจทก์ขุดไปได้ 3 ไร่เศษ แล้วก็ไม่ขุดอีก สิ้นปี พ.ศ. 2513 จะมาขุดใหม่ แต่สัญญาหมดแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิริบมัดจำ

ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ขุดหน้าดินของจำเลยไปแล้ว 3 ไร่ เงิน 20,000 บาทที่โจทก์ให้จำเลยตอนทำสัญญาเป็นมัดจำ ส่วน 20,000 บาทที่จำเลยรับจากโจทก์ในตอนหลัง เป็นค่าหน้าดิน โจทก์ขุดหน้าดินไปแล้ว3 ไร่ ต้องใช้ราคาไร่ละ 4,000 บาท แล้วคืนส่วนที่เหลือโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเอง จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหาย พิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 8,000 บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามสัญญาไม่มีข้อความระบุให้สิทธิแก่จำเลยที่จะริบมัดจำ การชำระหนี้ไม่ได้ตกเป็นการพ้นวิสัย และโจทก์มิได้ละเลยชำระหนี้ ไม่ได้มีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของโจทก์ จำเลยยังไม่มีสิทธิรับมัดจำ พิพากษาแก้ให้จำเลยคืนเงิน 28,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ในปัญหาที่ว่า จำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำได้หรือไม่นั้นข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา โดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2512 จำเลยทำสัญญาขายหน้าดินให้โจทก์จำนวน 15 ไร่ ราคาไร่ละ 3,800 บาทโดยต้องขุดให้หมดในปี 2512 ถ้าขุดไม่หมดและจะขุดต่อไปในปีหน้า (พ.ศ.2513) ให้คิดไร่ละ 4,000 บาท วันนั้นจำเลยรับเงินมัดจำจากโจทก์ 20,000 บาท ต่อมาจำเลยรับเงินค่าหน้าดินจากโจทก์ไปอีก 20,000 บาท โจทก์ขุดหน้าดินไปได้เพียง 3 ไร่ โดยขุดใน พ.ศ. 2513 แล้วไม่ได้ขุดอีก โดยโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ศาลฎีกาเห็นว่า พิเคราะห์ความในสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีข้อความว่า”ข้าพเจ้า นายแช่ม ต่างใจ (จำเลย) ได้ขายหน้าดินจำนวน 15 ไร่ ให้กับนางเจิม อ้นขวัญเมือง (โจทก์) ราคาไร่ละ 3,800 บาท ราคา 3,800 บาทนี้จะต้องขุดภายในปี พ.ศ. 2512 แต่ถ้าขุดไม่หมด จะขุดต่อไปในปีหน้า จะต้องเพิ่มราคาเป็น 4,000 บาท ข้าพเจ้า นางเจิม อินขวัญเมือง (โจทก์) ได้วางมัดจำไว้ก่อนล่วงหน้าเป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ” ในการวางเงินมัดจำกันดังกล่าว โจทก์จำเลยมิได้ตกลงเรื่องเงินมัดจำกันไว้เป็นอย่างอื่น กรณีจึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378 ซึ่งบัญญัติว่า “มัดจำนั้น ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ท่านให้เป็นไปดังกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) ให้ส่งคืนหรือจัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนในเมื่อชำระหนี้

(2) ให้ริบ ถ้าฝ่ายที่วางมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนั้นต้องรับผิดชอบ หรือถ้ามีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝ่ายนั้น

(3) ให้ส่งคืน ถ้าฝ่ายที่รับมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนี้ต้องรับผิดชอบ” ตามสัญญาขายหน้าดินเอกสารหมาย จ.1 ระบุว่า ซื้อขายหน้าดินกัน 15 ไร่ เป็นการกำหนดเขตของทรัพย์สินว่าได้ซื้อขายกันภายในวงเขตอันจำกัดนั้น และได้กำหนดเวลาบังคับแก่โจทก์ไว้ด้วยว่าโจทก์จะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามข้อสัญญาโดยขุดหน้าดินไปให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้ด้วย กล่าวคือ โจทก์มีหนี้ที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาโดยต้องขุดหน้าดินให้เสร็จในปี พ.ศ. 2513 เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่ขุดหน้าดินให้เสร็จภายในกำหนดโดยโจทก์เป็นฝ่ายผิด โจทก์ย่อมได้ชื่อว่าได้ละเลยไม่ชำระหนี้ จำเลยผู้เป็นเจ้าของหน้าดินและรับมัดจำไว้จากโจทก์ ย่อมมีสิทธิที่จะริบมัดจำนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(2)

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share