แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ค้ำประกันจำเลยต่อธนาคารในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตสำหรับราคาสินค้าที่จำเลยสั่งเข้ามาซึ่งตามคำรับรองของโจทก์ไม่รวมถึงค่าธรรมเนียมที่ธนาคารเรียกเก็บจากจำเลยในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตโจทก์รับใช้และได้ใช้ค่าธรรมเนียมแทนจำเลยไป โจทก์ไม่ได้รับช่วงสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาเงินจำนวนนี้จากจำเลย
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องที่โจทก์เรียกให้จำเลยใช้เงินที่โจทก์ใช้หนี้แทนจำเลยไป โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บริษัท จำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาว่าด้วยการกู้เงินหมาย จ.2 ขอกู้เงินจากโจทก์เพื่อนำไปใช้ลงทุนขยายกิจการอุตสาหกรรมการพิมพ์และกล่องกระดาษตามโครงการที่เสนอต่อโจทก์ภายในวงเงิน 6,180,000 บาท เงินจำนวนดังกล่าวโจทก์จะจ่ายให้ตามวาระภายใต้หลักประกันที่ได้กำหนดไว้เป็นเงินบาท 1,030,000 บาท สำหรับเป็นค่าภาษีขาเข้าและค่าขนส่งเครื่องจักรและอุปกรณ์ และจ่ายให้เป็นเงินตราต่างประเทศสกุลใดสุกลหนึ่งหรือหลายสกุล มีมูลค่าเทียบเท่าเงินตราไทยภายในวงเงิน 5,150,000 บาท เป็นค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ตามโครงการที่สั่งซื้อจากต่างประเทศ โดยจ่ายชำระแก่ธนาคารที่เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตตามราคาเครื่องจักรในเลตเตอร์ออฟเครดิตเท่านั้นสัญญากู้เงินดังกล่าว มีบริษัทจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมด้วย ต่อมาบริษัทจำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อเครื่องจักรตามโครงการจากห้างโจส์ รีเกอร์มัน ประเทศเยอรมันโดยการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคารแห่งอเมริกา โจทก์เป็นผู้รับรองเป็นประกันการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตของจำเลยที่ 1 โดยเงื่อนไขว่าโจทก์จะเป็นผู้จ่ายเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตเมื่อเครื่องจักรมาถึง และธนาคารแห่งอเมริกาจะต้องโอนสิทธิทั้งหลายเหนือเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นแก่ โจทก์อันเป็นการปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญากู้นั้น ครั้นเมื่อเครื่องจักรที่บริษัทจำเลยที่ 1สั่งซื้อเข้ามาและโจทก์ได้จ่ายเงินค่าเครื่องจักรจำนวน 906,734 ดอยท์มาร์ค ตามเลตเตอร์ออฟเครดิตให้ธนาคารแห่งอเมริกาแล้ว บริษัทจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินชำระค่าภาษีและไม่สามารถเบิกเงินตามสัญญากู้เงินจากโจทก์ เพราะไม่สามารถหาหลักประกันจำนองโจทก์ได้ตามสัญญา ต่อมาวันที่ 26 กรกฎาคม 2514บริษัทจำเลยที่ 1 จึงได้ทำสัญญาขายเครื่องจักรที่สั่งซื้อเข้ามาให้แก่โจทก์เท่าราคาที่โจทก์ชำระแก่ธนาคารแห่งอเมริกา และโจทก์ได้ขายต่อให้แก่บริษัทไทยพูจิไปในวันเดียวกันนั้น สำหรับการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตของจำเลยที่ 1 ทางธนาคารแห่งอเมริกาคิดค่าธรรมเนียม ค่าดอกเบี้ยค่าบริการและค่าใช้จ่ายอื่น ๆตามประเพณีเกี่ยวกับการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตทางการค้าเป็นเงิน 207,069.25บาท ต่างหากจากราคาเครื่องจักรตามเลตเตอร์ออฟเครดิตและธนาคารแห่งอเมริกาแจ้งให้จำเลยที่ 1 ชำระแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระธนาคารแห่งอเมริกาจึงแจ้งให้โจทก์ในฐานะผู้รับรองการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตของจำเลยที่ 1 ชำระแทน โจทก์ได้ขอให้ธนาคารแห่งอเมริกาฟ้องเรียกร้องเอากับจำเลยที่ 1 ก่อน โดยโจทก์ออกค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องให้ธนาคารแห่งอเมริกาจึงได้ฟ้องจำเลยที่ 1ต่อศาลแพ่ง ผลที่สุดจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระแก่ธนาคารแห่งอเมริกาแล้วไม่ชำระธนาคารแห่งอเมริกาาดำเนินการบังคับคดีมีผู้ร้องขัดทรัพย์ ผลที่สุดต้องถอนการยึดธนาคารแห่งอเมริกาไม่ได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 โจทก์จึงต้องชำระเงิน 207,069.25 บาท ให้ฑนาคารแห่งอเมริกาไปเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2516 แล้วได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสี่จัดการชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ จำเลยไม่ยอมชำระ จึงได้มีการฟ้องร้องกันเป็นคดีนี้
ได้พิเคราะห์แล้ว ตามเงื่อนไขสัญญากู้เงินหมาย จ.2 เฉพาะเงินกู้เป็นค่าซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ตามโครงการจากต่างประเทศอันต้องจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศมีมูลค่าเทียบเท่าเงินตราไทยภายในวงเงิน 5,150,000 บาทซึ่งทางปฏิบัติโจทก์จะเป็นผู้จ่ายให้แก่ธนาคารที่เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตตามราคาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ระบุไว้ในเลตเตอร์ออฟเครดิตเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อควบคุมมิให้ผู้กู้ใช้เงินไปในทางอื่น นอกจากค่าเครื่องจักรที่สั่งซื้อจากต่างประเทศตามโครงการที่เสนอ และได้รับความเห็นชอบของโจทก์แล้ว และข้อเท็จจริงคดีนี้ก็ได้ความว่า บริษัทจำเลยที่ 1 ได้ติดต่อสั่งซื้อเครื่องจักรตามโครงการจากห้างโจส์รีเกอร์มัน ประเทศเยอรมันนีเป็นราคา 906,734 ดอยท์ชมาร์ค เทียบเท่าเงินตราไทยจำนวน 5,150,000 บาท ตามวงเงินที่โจทก์จะให้กู้แล้วจึงได้ไปติดต่อขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับธนาคารแห่งอเมริกาอันเป็นธนาคารที่โจทก์แนะนำไว้แล้วจึงมาขอให้โจทก์รับรองการขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตนั้น โจทก์จึงได้มีหนังสือหมาย จ.6 และหมาย จ.7 รับรองการขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตของบริษัทจำเลยที่ 1 ต่อธนาคารแห่งอเมริกา ซึ่งตามหนังสือรับรองของโจทก์ดังกล่าวระบุชัดว่า โจทก์สัญญาว่าจะจ่ายเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตที่บริษัทจำเลยที่ 1 ขอเปิดเป็นเงินตราต่างประเทศสกุลดอยท์ชมาร์ค สำหรับค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นเงิน 906,734 ดอยท์ชมาร์ค ซึ่งเป็นจำนวนภายในวงเงิน5,150,000 บาท ที่โจทก์อนุมัติให้กู้ไว้ และเป็นการปฏิบัติตามวิธีการควบคุมการใช้เงินกู้ตามดครงการของบริษัทจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแล้ว หนังสือรับรองของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการรับรองค้ำประกัน การขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตจำกัดเฉพาะราคาเครื่องจักรและอุปกรณ์ตามราคาที่ระบุไว้ในเลตเตอร์ออฟเครดิตเท่านั้น หาได้รวมถึงค่าธรรมเนียมดอกเบี้ย ค่าบริการและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามประเพณีการขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตทางการค้าจำนวน 207,069.25 บาทที่ธนาคารจะคิดเอาจากผู้ขอเปิดด้วยไม่ โจทก์จึงมิใช่ผู้ค้ำประกันเงินจำนวนนี้ของบริษัทจำเลยที่ 1 ส่วนข้อความภาษาอังกฤษที่ธนาคารแห่งอเมริกาได้พิมพ์เพิ่มเติมไว้ในหนังสือรับรองการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.7 ซึ่งมีข้อความแปลได้ว่า “อ้างถึงเลตเตอร์ออฟเครดิตของธนาคารแห่งอเมริกาเลขที่ 34068 ลงวันที่ 29 มกราคม 2513 สำหรับจำนวนเงิน 906,734ดอยท์ชมาร์ค” ตามคำนายพล มหัธนกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายเงินกู้ของธนาคารแห่งอเมริกาพยานโจทก์ว่า พิมพ์ขึ้นเพื่อให้รู้ว่าการค้ำประกันเป็นเรื่องไหน พิเคราะห์ข้อความที่ธนาคารแห่งอเมริกาเป็นผู้พิมพ์ขึ้นเอง พิมพ์แยกเป็นส่วนต่างหากจากข้อความที่ธนาคารแห่งอเมริกาจะต้องลงชื่อตกลงรับการรับรองของโจทก์ภายในเงื่อนไขตามหนังสือรับรองนั้น เห็นว่า ข้อความที่ธนาคารแห่งอเมริกาพิมพ์ไว้น่าจะมีความหมายให้โจทก์รู้เพียงว่าได้รับรองภายไหนไว้เท่านั้น กรณีจึงฟังไม่ได้ว่า ให้หมายความถึงให้โจทก์ค้ำประกันหนี้อันเกิดจากการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตทั้งหมดดังโจทก์ฎีกาโต้แย้งมา และเนื่องจากโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันการขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตของจำเลยที่ 1 เฉพาะสำหรับรับมูลค่าราคาเครื่องจักรและอุปกรณ์ตามที่ระบุไว้ในเลตเตอร์ออฟเครดิต โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดจ่ายเงิน นอกเหนือจากที่โจทก์รับเป็นผู้ค้ำประกันไว้ การชำระหนี้ค่าธรรมเนียม ค่าดอกเบี้ย ค่าบริการและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามปะรเพณีการขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตทางการค้าของโจทก์แก่ธนาคารแห่งอเมริกาไป จึงเรียกไม่ได้ว่าผู้ค้ำประกันได้ชำระหนี้ที่ตนได้ประกันไว้แล้ว เพราะโจทก์มิได้เป็นฝ่ายประกันถึงเงินจำนวนดังกล่าวด้วย โจทก์จึงไม่ได้รับช่วงสิทธิที่จะไล่เอาจากบริษัทจำเลยที่ 1″
พิพากษายืน