แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนโจทก์ที่ 1 ที่ 2 จดทะเบียนซื้อที่ดินมีโฉนดจากโจทก์ที่ 3 จำเลยทำการรังวัดสอบเขตที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินดังกล่าว ดังนี้ ทำให้โจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหายและอาจถูกโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฟ้องไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทนได้ โจทก์ที่ 3 มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีแล้วโจทก์ที่ 3 จึงเข้าเป็นโจทก์ในคดีที่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฟ้องจำเลยด้วยได้
ก่อนวันนัดสืบพยาน โจทก์ที่ 3 ตาย ศาลชั้นต้นสั่งงดการดำเนินคดี เพื่อรอผู้เข้ารับมรดกความแทนโจทก์ที่ 3 ก่อนพ้นเวลา 1 ปี ตามกฎหมายกำหนด ศาลชั้นต้นกลับสั่งว่าโจทก์ที่ 3 ไม่มีส่วนได้เสียในคดี ให้เพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องโจทก์ที่ 3 และได้นัดสืบพยานโจทก์ไป เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อโจทก์ที่ 3 มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นการตัดสิทธิทายาทของโจทก์ที่ 3 หรือผู้จัดการทรัพย์มรดก แต่เมื่อนับแต่โจทก์ที่ 3 ได้ถึงแก่กรรมไปจนถึงวันที่ศาลฎีกาพิพากษาเกินกว่า 1 ปีแล้ว ศาลฎีกาจึงพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องโจทก์ที่ 3 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของศาลชั้นต้นในการที่กำหนดเวลาปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 ว่าด้วยการเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 3 ผู้มรณะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1, 2 เป็นเจ้าพนักงานร่วมกับจำเลยอื่นทำการรังวัดสอบเขตผิดไปจากแนวเขตที่ดินและทางเกวียนเดิม แล้วเปลี่ยนแปลงแผนที่หลังโฉนดของจำเลย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เนื้อที่ดินขาดหายไป ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157, 161, 83, 84,86, 91 และพิพากษาว่าที่ดินซึ่งจำเลยนำชี้ทับที่ดินโจทก์จำนวน 7 ไร่ ตามฟ้องเป็นของโจทก์ เพิกถอนการรังวัดและจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินของนางย้วนและทำให้ทางเกวียนอยู่ในแนวเดิม หากสุดวิสัยจะทำได้ ขอให้ร่วมกันใช้เงินพร้อมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีของโจทก์มีมูลทุกข้อหาจึงสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยที่ 1, 2, 3, 5 ให้การปฏิเสธ
โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 4 ศาลอนุญาต
ต่อมาทนายโจทก์แถลงว่า โจทก์ที่ 3 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นสั่งงดการดำเนินคดี เมื่อมีผู้รับมรดกความแล้วจึงให้ดำเนินการต่อไป เมื่อวันที่ 17ธันวาคม 2517 ซึ่งเป็นวันนัดพร้อม ทนายโจทก์ขอให้เลื่อนคดีไปจนครบ 1 ปีนับแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2517 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ที่ 3 ถึงแก่ความตาย ทนายจำเลยยอมรับว่าโจทก์ที่ 3 ตายจริง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เนิ่นช้ามาเป็นเวลา 2 ปีเศษโดยมิได้สืบพยานเลย เมื่อพิเคราะห์คำฟ้องและคำเบิกความชั้นไต่สวนมูลฟ้องอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1, 2 ซื้อที่ดินพิพาทตามโฉนดจากโจทก์ที่ 3 ตั้งแต่พ.ศ. 2507 โดยโจทก์ที่ 3 ก็มิได้บอกแก่โจทก์ที่ 1, 2 ว่าเนื้อที่ดินซึ่งซื้อขายกันมีมากกว่าที่ปรากฏในโฉนด และได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์ที่ 3จึงไม่มีส่วนได้เสียในคดีที่โจทก์ที่ 1, 2 พิพาทกับจำเลย จึงให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับฟ้องโจทก์ที่ 3 ในคดีนี้ โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 และให้นัดสืบพยานโจทก์วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2518
โจทก์ที่ 1, 2 อุทธรณ์คำสั่ง
ครั้นวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2518 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ได้เซ็นทราบนัดไว้แล้ว แต่โจทก์หรือทนายโจทก์ไม่มาศาล พฤติการณ์แสดงว่าโจทก์เจตนาให้การดำเนินการพิจารณาล่าช้า ถึงแม้ว่าจะมีอุทธรณ์คำสั่งของศาลก็ตาม โจทก์ก็ยังมีหน้าที่ต้องมาศาลเพื่อสืบพยานโจทก์ต่อไปตามเดิม การที่โจทก์เพิกเฉย แสดงว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ จำเลยแถลงขอสืบพยานจำเลย แต่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง
วันที่ 7 มีนาคม 2518 โจทก์ที่ 1, 2 อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ศาลสั่งเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2518 ว่า “ให้รับอุทธรณ์เฉพาะส่วนแพ่ง ส่วนคดีอาญาขาดอายุอุทธรณ์แล้ว สำเนาให้จำเลย แจ้งคำสั่งของศาลให้โจทก์ทราบโดยเร็ว”
วันที่ 14 มีนาคม 2518 โจทก์ที่ 1, 2 อุทธรณ์คำสั่งที่สั่งไม่รับอุทธรณ์คดีส่วนอาญา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นทั้งสองฉบับ คดีส่วนแพ่งให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ที่ 1, 2 ฎีกาว่า การพิจารณาพิพากษาไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนการพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งไปตามกฎหมายแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยที่ 1, 2, 3 และ 5 ฎีกาขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีข้อควรพิเคราะห์ก่อนว่า โจทก์ที่ 3 มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยเรื่องอำนาจฟ้อง โจทก์ที่ 1, 2กล่าวฟ้องว่าจำเลยทำการรังวัดสอบเขตผิดไปจากแนวเขตที่ดินและทางเกวียนเดิมรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ซื้อมาจากโจทก์ที่ 3 เป็นเนื้อที่ 7 ไร่และการรังวัดนั้นได้กระทำกันมาก่อนตั้งแต่ที่ดินยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 3ดังนี้ ตามคำฟ้องและคำเบิกความพยานโจทก์พอที่จะเห็นได้ว่าการกระทำดังกล่าวทำให้โจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหายและอาจถูกโจทก์ที่ 1, 2 ฟ้องตนได้เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทน ถ้าหากศาลพิพากษาให้โจทก์ที่ 1, 2 แพ้คดี ประกอบกับรูปคดีกรณีโจทก์ที่ 3 นี้ ถึงแม้จะไม่เป็นโจทก์ร่วมฟ้องด้วยโจทก์ที่ 1, 2 ก็ยังขอให้ศาลหมายเรียกเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย ศาลฎีกาจึงเห็นว่าโจทก์ที่ 3 มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีแล้ว เห็นควรรับฟ้องโจทก์ที่ 3ไว้พิจารณาต่อไปที่ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องโจทก์ที่ 3 เสียนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่เนื่องจากคดีนี้โจทก์ที่ 3 ถึงแก่กรรม กฎหมายบัญญัติให้ทายาทหรือผู้จัดการทรัพย์มรดกหรือบุคคลอื่นใดที่ปกครองทรัพย์มรดกของโจทก์ที่ 3เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 3 เพื่อให้โอกาสบุคคลดังกล่าวกฎหมายจึงบัญญัติเรื่องระยะเวลาไว้ให้ขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์ที่ 3 ถึงแก่กรรม แต่เรื่องนี้ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนโดยไม่รอระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เป็นการตัดสิทธิทายาทของโจทก์ที่ 3 หรือผู้จัดการมรดกหรือบุคคลอื่นใดที่ปกครองทรัพย์มรดกของโจทก์ที่ 3 ไม่ชอบด้วยการพิจารณาความ ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาใหม่ทั้งคดีส่วนแพ่งและส่วนอาญา แต่เนื่องจากโจทก์ที่ 3 ได้ถึงแก่กรรมจนถึงวันพิพากษานี้เกินกว่า 1 ปีแล้ว จึงให้อยู่ในดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการที่จะกำหนดเวลาปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 ว่าด้วยการเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 3 ผู้มรณะ เมื่อรูปคดีฟังได้เช่นนี้ ปัญหาอื่นตามข้อฎีกาของคู่ความจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องโจทก์ที่ 3 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้รวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่