คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2098/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามพินัยกรรมของเจ้ามรดก จำเลยที่ 1 ไปขอรับมรดกที่ดินดังกล่าวโดยไม่สุจริต แล้วจำเลยทั้งสองโดยเจตนาไม่สุจริตซื้อขายที่ดินดังกล่าวกันโดยจำเลยที่ 2 ทราบดีแล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจขาย ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยที่ 2 โอนโฉนดที่ดินดังกล่าวคืนให้โจทก์ เป็นคำฟ้องที่โจทก์เรียกที่พิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกคืนจากจำเลยที่ 2 ซึ่งรับโอนจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต ส่วนที่โจทก์ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยที่ 2 โอนโฉนดที่พิพาทคืนให้โจทก์หากจำเลยที่ 2 ไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น เป็นการกระทำเพื่อให้ที่ดินดังกล่าวหลุดพ้นจากการเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 มาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และเมื่อที่พิพาทตั้งอยู่ในเขตศาลชั้นต้น ที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาและฟ้องว่าโจทก์เป็นวัดในพุทธศาสนาอันเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2508 นางบาง แจ่มจิรากุลหรือก๊กแจ่มหรือแจ่ม จิระกุล ทำพินัยกรรมยกที่ดินโฉนดที่ 9178 ตำบลบ่อยาโล่อำเภอวังน้อย (พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้แก่โจทก์ นางบางตายเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2516 ที่ดินจึงตกเป็นของโจทก์และกลายเป็นธรณีสงฆ์อันไม่อาจโอนกันได้โดยลำพัง จำเลยที่ 1 เป็นหลานของนางบางและทราบดีว่านางบางทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินคือที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ แต่โดยเจตนาไม่สุจริต จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางบาง ศาลแพ่งเชื่อคำเบิกความอันเป็นเท็จของจำเลยที่ 1 กับพวก จึงมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก จำเลยนำคำสั่งดังกล่าวไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลงชื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางบางในโฉนดเลขที่ 9178 และในวันเดียวกันนั้น จำเลยทั้งสองโดยเจตนาไม่สุจริตซื้อขายที่ดินดังกล่าวในราคาเพียง 170,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจขาย จึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดที่ 9178 ระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ หากจำเลยที่ 2 ไม่โอนก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

ศาลชั้นต้นงดไต่สวนคำร้องและวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวกับทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) จึงไม่รับคำฟ้องของโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องขอฟ้องอย่างคนอนาถาของโจทก์ แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินโฉนดที่ 9178 ตั้งอยู่ในเขตศาลชั้นต้นเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามพินัยกรรมนางบาง จำเลยที่ 1 ไปขอรับมรดกในที่ดินดังกล่าวโดยไม่สุจริต แล้วจำเลยทั้งสองโดยเจตนาไม่สุจริตซื้อขายที่ดินดังกล่าวกันโดยจำเลยที่ 2 ทราบดีแล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจขาย ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดที่ 9178 ระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยที่ 2 โอนโฉนดที่ดินดังกล่าวคืนให้โจทก์ เป็นคำฟ้องที่โจทก์เรียกที่ดินโฉนดที่ 9178 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามพินัยกรรมของนางบางคืนจากจำเลยที่ 2 ซึ่งรับโอนจากจำเลยที่ 1โดยไม่สุจริต ส่วนที่โจทก์ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยที่ 2 โอนโฉนดที่ดินเลขที่ 9178 คืนให้โจทก์ หากจำเลยที่ 2 ไม่โอน ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น เป็นการกระทำเพื่อให้ที่ดินดังกล่าวหลุดพ้นจากการเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 มาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และเมื่อที่ดินโฉนดที่ 9178 ตั้งอยู่ในเขตศาลชั้นต้น ที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) แล้ว

พิพากษายืน

Share