แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์หลายคนฟ้องจำเลยให้รับผิดฐานละเมิดมาในห้องเดียวกัน โดยแยกทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องเป็นจำนวนเท่าใดมาชัดเจน เป็นส่วนของแต่ละคน มิได้เรียกร้องเป็นจำนวนรวมกันมา เมื่อทุนทรัพย์ของโจทก์คนใดไม่เกิน 50,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโจทก์คนนั้นมิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
แม้ผู้ถูกทำละเมิดเป็นข้าราชการ มีสิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการได้ ก็ไม่ทำให้สิทธิของผู้ถูกทำละเมิดที่จะเรียกร้องจากผู้ต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดต้องระงับไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกขยะคันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฝ 4232 นำขยะไปทิ้งตามทางการที่จ้าง เมื่อขับไปถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 2 ได้ขับรถเลี้ยวขวาผ่านช่องว่างระหว่างร่องกลางถนนไปสู่ฝั่งขวาถนน เพื่อกลับรถไปสู่เส้นทางที่จะนำขยะไปทิ้ง ขณะนั้นมีรถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฒ 2972 ซึ่งโจทก์ที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อ และโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ขับ วิ่งสวนทางมาด้วยความประมาทของจำเลยที่ 2 โดยไม่หยุดรถให้รถทางตรงวิ่งผ่านไปก่อนกลับเลี้ยวรถตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด สุดวิสัยที่รถยนต์เก๋ง ก.ท.ฒ 2972 จะหยุดได้ทัน จึงทำให้ชนกับรถขนขยะอย่างแรง ยังผลให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกัน ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทของโจทก์หรืออย่างน้อยโจทก์มีส่วนร่วมประมาทด้วย จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาสูงเกินไป
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 2พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 จำนวน 21,000 บาทโจทก์ที่ 2 จำนวน 120,000 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 7,000 บาท โจทก์ที่ 4 จำนวน4,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ แม้โจทก์จะฟ้องรวมกันมาเป็นจำนวนทุนทรัพย์274,800 บาท แต่โจทก์ได้แยกทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องแต่ละคน เป็นจำนวนเท่าใดมาชัดเจน เป็นส่วนของแต่ละคน มิได้เรียกร้องเป็นจำนวนรวมกันมา ทุนทรัพย์ของโจทก์ที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 แต่ละคนเป็นจำนวนไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คงมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยเฉพาะฎีกาจำเลยที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียว
สำหรับค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 1 โต้เถียงมาเฉพาะค่ารักษาพยาบาลโดยอ้างว่าโจทก์ที่ 2 เป็นข้าราชการ น่าจะเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ว่าโจทก์ที่ 2 จะมีสิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการได้ ก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่ 2 ที่จะเรียกร้องจากจำเลยต้องระงับไป
พิพากษายืน