คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1337/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลขอแบ่งมรดก คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคนละคนกัน จำเลยที่ 2 เข้ามาเป็นจำเลยในคดีนี้ก็ด้วยการที่ศาลเรียกให้เข้ามาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3)ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน
การที่ทายาทของผู้ตายรวมทั้งจำเลยทั้งสองทำบันทึกข้อตกลงของทายาทว่า ทายาททุกคนไม่ถือว่าจะต้องแบ่งทรัพย์กันตามพินัยกรรมแต่หากต่างตกลงแบ่งกันตามที่เห็นสมควรเพื่อเป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งจะมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 แต่ละฝ่ายจึงได้สิทธิตามที่ได้แสดงไว้ในสัญญานั้น และแม้ทรัพย์บางส่วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจะเป็นสินสมรสส่วนของจำเลยที่ 2 ก็ตาม ก็มิใช่เป็นการที่จำเลยที่ 2 ยกสินสมรสส่วนของตนให้ผู้อื่นจึงไม่ต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับการยกให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายบรรลือผู้ตายบิดาโจทก์ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์บางส่วนให้โจทก์ ต่อมาทายาทของผู้ตายรวมทั้งนางสมบุญซึ่งเป็นมารดาจำเลยที่ 1 และเป็นภรรยาของผู้ตายได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ใจความว่านางสมบุญและทายาททุกคนยอมถือปฏิบัติตามพินัยกรรม แต่เนื่องจากทายาทบางคนได้ตายไปก่อนเจ้ามรดก จึงได้ตกลงประนีประนอมยอมความโดยการแบ่งส่วนทั้งหมดออกเป็น 97 ส่วน ทายาทแต่ละคนได้ส่วนที่แน่นอนตามที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยที่ 1 เข้าเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายไม่ยินยอมแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ตามสัญญา โดยอ้างว่าทรัพย์สินตามพินัยกรรมต้องแบ่งออกเป็นของนางสมบุญครึ่งหนึ่งก่อน ที่เหลือจึงแบ่งให้ทายาท โจทก์ได้ฟ้องนางสมบุญต่อศาลขอให้แบ่งทรัพย์สินตามพินัยกรรม คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ขอให้บังคับให้จำเลยที่ 1 แบ่งทรัพย์ให้

ศาลชั้นต้นเห็นสมควรเรียกนางสมบุญเข้ามาเป็นจำเลยด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) นางสมบุญจึงเข้ามาเป็นจำเลยที่ 2

จำเลยทั้งสองให้การว่า นางสมบุญเป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายเพียงคนเดียว ผู้ตายไม่มีสิทธินำสินบริคณห์อันเป็นสินสมรสส่วนของจำเลยที่ 2ครึ่งหนึ่งไประบุไว้ในพินัยกรรม โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลขอแบ่งมรดกอย่างเดียวกับคดีนี้ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้อน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้อน ผู้ตายไม่มีสิทธินำส่วนของจำเลยที่ 2 ไปทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้อื่น การที่จำเลยที่ 2 ลงชื่อในข้อตกลงทายาทมีความหมายเพียงว่าจำเลยที่ 2 ยอมแบ่งทรัพย์ของผู้ตายตามพินัยกรรมเท่านั้น ไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 ที่จะต้องยอมแบ่งสินสมรสส่วนของตนให้แก่ทายาทอื่นด้วย จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายจึงไม่ต้องแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ตามฟ้อง พิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดกตามพินัยกรรม โดยให้กันสินบริคณห์สมรสส่วนของจำเลยที่ 2 ออกครึ่งหนึ่งก่อน

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามบันทึกข้อตกลงระหว่างทายาทนั้น จำเลยที่ 2แสดงออกทั้งในฐานะทายาทและคู่สมรสผู้ตาย ยอมให้เอาสินบริคณห์ส่วนของตนเข้ากองมรดกแบ่งให้แก่ทายาท เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ มีผลบังคับได้ พิพากษาแก้ ให้แบ่งทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์ตามบันทึกข้อตกลง

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า บันทึกของทายาทเป็นการแบ่งทรัพย์กันนอกเหนือไปจากข้อกำหนดในพินัยกรรม มีการแบ่งทรัพย์กันตามข้อกำหนดของพินัยกรรมบางข้อเท่านั้น ฟังได้ว่าทายาทผู้ตายไม่ถือว่าจะต้องแบ่งทรัพย์กันตามพินัยกรรม แต่หากต่างตกลงแบ่งกันตามที่เห็นสมควร เพื่อเป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งจะมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850แต่ละฝ่ายจึงได้สิทธิตามที่แสดงไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 852 และเห็นว่าจำเลยที่ 2 ยอมตกลงด้วยทั้งในฐานะทายาทและภรรยาผู้ตายด้วย สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวไม่ใช่เป็นการที่จำเลยที่ 2 ยกสินสมรสส่วนของตนให้ผู้อื่น จึงไม่ต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดสำหรับการยกให้

พิพากษายืน

Share