คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

วันนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรก ทนายจำเลยแถลงขอเลื่อนคดีอ้างเหตุว่า พยานจำเลยติดธุระจำเป็นที่กรุงเทพมหานครมาเป็นพยานไม่ได้ จำเลยติดใจสืบพยานเพียง 2 ปาก จะนำมาสืบให้แล้วเสร็จภายในนัดเดียว หากไม่นำพยานปากใดปากหนึ่งหรือทั้งสองปากมาถือว่าไม่ติดใจสืบพยานจำเลยอีกต่อไป ศาลชั้นต้นจึงอนุญาตให้เลื่อนคดีและกำชับทนายจำเลยให้ปฏิบัติตามที่แถลงไว้ต่อศาลครั้นถึงวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งที่สองทนายจำเลยแถลงขอเลื่อนคดีอีก โดยอ้างเหตุเลื่อนลอยเพียงว่าไม่สามารถนำพยานจำเลยมาเบิกความได้ เนื่องจากทำงานอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ดังนี้เมื่อไม่ปรากฏเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ และทนายจำเลยมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่า ถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรมดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่งพฤติการณ์ของทนายจำเลยดังกล่าวเป็นการประวิงคดีศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยเสียได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดแล้ว ยอดหนี้คำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงินทั้งสิ้น 267,622.63 บาท เป็นหนี้จำนวนแน่นอน และหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วแต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์ขอออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินของจำเลยแล้ว แต่ไม่พบว่าจำเลยมีทรัพย์สินใดที่จะบังคับคดีได้ จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าจำเลยเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวเนื่องจากจำเลยมีทรัพย์สิน หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ทั้งโจทก์ยังไม่ทำการยึดทรัพย์สินของจำเลยตามหมายบังคับคดีและไม่ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ไม่น้อยกว่า2 ครั้ง มีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน ประกอบกับจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนแล้ว จำเลยประกอบกิจการค้า มีรายได้เป็นประจำ ไม่เป็นหนี้บุคคลอื่นใดอีก ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกมีว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ได้ความว่าวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรก ทนายจำเลยแถลงขอเลื่อนคดีอ้างเหตุว่าพยานจำเลยติดธุระจำเป็นที่กรุงเทพมหานครมาเป็นพยานไม่ได้ จำเลยติดใจสืบพยานเพียง 2 ปาก จะนำมาสืบให้แล้วเสร็จภายในนัดเดียวหากไม่นำพยานปากใดปากหนึ่งหรือทั้งสองปากมา ถือว่าไม่ติดใจสืบพยานจำเลยอีกต่อไป ศาลชั้นต้นจึงอนุญาตให้เลื่อนคดี และกำชับทนายจำเลยไว้ว่า นัดหน้าให้พร้อมสืบและปฏิบัติตามที่แถลงไว้ต่อศาลด้วย ครั้นถึงวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งที่สอง ทนายจำเลยแถลงขอเลื่อนคดีอีกโดยอ้างเหตุว่าไม่สามารถที่จะนำพยานจำเลยมาเบิกความได้ เนื่องจากทำงานอยู่ที่กรุงเทพมหานคร เห็นว่าการที่ทนายจำเลยแถลงขอเลื่อนคดีเป็นครั้งที่สองเป็นการไม่ปฏิบัติดังที่เคยแถลงไว้ต่อศาลในวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรก และเหตุผลที่ขอเลื่อนคดีก็เป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอย ทั้งไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ และทนายจำเลยมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่า ถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรมดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่ง พฤติการณ์ของทนายจำเลยดังกล่าวส่อแสดงว่า จำเลยเพิกเฉยไม่สนใจในการดำเนินคดีของตน เป็นการประวิงคดี ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยเสียได้ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share