แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองออกเช็ค 5 ฉบับชำระหนี้ค่าบ้านที่ดินกับค่าหุ้นที่จำเลยซื้อจากโจทก์ตามสัญญาซื้อขาย (เอกสารหมาย จ.3) โจทก์ได้รับเงินตามเช็คเพียง 1 ฉบับส่วนอีก 4ฉบับธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็ค 4 ฉบับพร้อมทั้งดอกเบี้ย จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์บังอาจเอาเช็คของจำเลยไปและได้นำเช็คไปขึ้นเงินแล้ว 1ฉบับ จึงขอให้โจทก์คืนเงินและเช็คดังกล่าวให้จำเลยปรากฏว่าโจทก์ได้ถูกอัยการศาลทหารฟ้องเป็นจำเลยและศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ได้วินิจฉัยว่าโจทก์ลักเช็คทั้ง 5 ฉบับนั้นจากจำเลยที่ 2 ไปลงวันที่สั่งจ่ายแล้วนำไปขึ้นเงินที่ธนาคาร 1 ฉบับ นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินอีก 4 ฉบับทั้งที่โจทก์จำเลยมิได้มีมูลหนี้ต่อกันแต่อย่างใดและพิพากษาจำคุกโจทก์ ศาลทหารกลางพิพากษายืน คดีถึงที่สุด ดังนี้ คดีนี้ซึ่งเป็นคดีแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ลักเช็คพิพาทจากจำเลยที่ 2 ไปขึ้นเงิน โดยที่โจทก์จำเลยไม่มีมูลหนี้ต่อกัน จำเลยจึงไม่ผูกพันจะต้องชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นประธานกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1มีอำนาจลงนามสั่งจ่ายเช็คแทนจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 1 มีบัญชีเงินฝากที่ธนาคารแหลมทอง จำกัดบัญชีเดียวกับบัญชีเงินฝากของห้างหุ้นส่วนจำกัดติ่งเชียงฮวด หรือ เสรีอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2516 จำเลยทั้งสองได้สั่งจ่ายเช็คของธนาคารแหลมทอง จำกัด ลงวันที่ 24 มกราคม 2517 รวม5 ฉบับให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดิน กับค่าหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 ที่จำเลยซื้อจากโจทก์ โจทก์ได้รับเงินจากธนาคารแล้ว 1 ฉบับ แต่เช็คอีก4 ฉบับรับเงินไม่ได้เพราะจำเลยสั่งระงับการจ่ายเงิน ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็ค 4 ฉบับรวม 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,093 บาท 75 สตางค์และจากวันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดติ่งเชียงฮวดได้เลิกกิจการไปแล้ว จำเลยที่ 1 ได้โอนบัญชีเงินฝากของห้างหุ้นส่วนนี้มาเป็นเงินฝากของจำเลยที่ 1 แต่ยังคงใช้ตราของห้างหุ้นส่วนฯ ประทับในเช็คตลอดมาสำหรับเช็คทั้ง 5 ฉบับตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดติ่งเชียงฮวด ได้นำไปประกันเงินกู้ไว้กับผู้มีชื่อเมื่อประมาณ 10 ปีมาแล้ว โดยมิได้ลงวันที่ในเช็ค ต่อมาเมื่อได้ชำระเงินกู้แล้วก็ขอรับเช็ค 5 ฉบับมาเก็บไว้ที่สำนักงานห้างหุ้นส่วนฯ ดังกล่าว โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างอยู่ในห้างหุ้นส่วนนี้ได้บังอาจเอาเช็ค 5 ฉบับไปกรอกวันที่เอาเองโดยพลการแล้วนำไปขึ้นเงินจากธนาคารและได้รับเงินไปแล้วหนึ่งฉบับเป็นเงิน 70,000 บาท อีก 4 ฉบับทางธนาคารแหลมทอง จำกัดได้สอบถามมา จำเลยที่ 2 จึงทราบเรื่องและสั่งระงับการจ่ายเงิน จำเลยทั้งสองไม่ได้ซื้อบ้านและที่ดินตลอดจนหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 จากโจทก์แต่อย่างใด โจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายและเช็คดังกล่าวมิได้ออกเพื่อชำระหนี้ กับตัดฟ้องว่าโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปีนับแต่วันออกเช็ค คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ให้คืนเงิน 70,000บาทให้จำเลยที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีคิดถึงวันฟ้องแย้งเป็นเงิน 875 บาท กับจากวันฟ้องแย้งไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ และให้คืนเช็ค 4 ฉบับให้จำเลยที่ 1 ด้วย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เช็คฉบับสั่งจ่ายเงิน 70,000 บาท เป็นเช็คที่จำเลยจ่ายชำระค่าบ้าน ที่ดินและหุ้นดังกล่าวในฟ้อง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องและให้โจทก์ชำระเงิน70,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 พร้อมดอกเบี้ย ให้โจทก์คืนเช็คเลขที่ 543378,543379, 546307 และ 546323 แก่จำเลยที่ 1 ด้วย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่าเช็คพิพาททั้ง 5 ฉบับ จำเลยทั้งสองออกให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ค่าที่ดิน บ้านและหุ้น ดังที่โจทก์นำสืบหรือเป็นเรื่องโจทก์ลักเช็คพิพาท 5 ฉบับไปลงวันสั่งจ่ายแล้วนำเช็คไปขึ้นเงินดังที่จำเลยต่อสู้เรื่องนี้ศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ได้วินิจฉัยไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 217/2518 ที่โจทก์ถูกอัยการศาลทหารกรุงเทพฟ้องเป็นจำเลยว่า จำเลยที่ 2 ได้ออกเช็คพิพาททั้ง 5 ฉบับตั้งแต่ พ.ศ. 2507 แล้วให้โจทก์นำไปแลกเงินสดจากนายเม่งตง ต่อมาจำเลยที่ 2 ให้โจทก์เอาเงินไปชำระนายเม่งตงรับเช็คพิพาทคืนมา โจทก์กลับลักเช็คพิพาทไปลงวันสั่งจ่ายแล้วนำไปขึ้นเงินที่ธนาคารแหลมทอง จำกัด 1 ฉบับ นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินอีก 4 ฉบับ ทั้งที่โจทก์จำเลยมิได้มีมูลหนี้ต่อกันแต่อย่างใด สัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 เป็นเอกสารที่โจทก์ทำปลอมขึ้นเพื่อใช้อ้างอิงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จึงได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ ศาลทหารกรุงเทพ(ศาลอาญา) ได้พิพากษาว่าโจทก์กระทำผิดฐานลักทรัพย์ ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ฉ้อโกงและพยายามฉ้อโกงรวม 4 กระทง ให้จำคุกโจทก์ไว้รวม 9 ปี 4 เดือน ศาลทหารกลางพิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์หลบหนีไปในระหว่างคดียังจับตัวไม่ได้จนบัดนี้ สำหรับคดีนี้ซึ่งเป็นคดีแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ลักเช็คพิพาทจากจำเลยที่ 2 ไปขึ้นเงินโดยที่โจทก์จำเลยไม่มีมูลหนี้ต่อกันเช่นนี้ จำเลยจึงไม่ผูกพัน จะต้องชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์แต่อย่างใด ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน