แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ถ้าเกี่ยวด้วยเรื่องศาลเจ้าไม่ว่าจะเป็นตัวศาลเจ้าหรือที่ดินของศาลเจ้า โจทก์ในฐานะผู้ปกครองศาลเจ้าย่อมมีอำนาจหน้าที่ฟ้องคดีได้ทั้งแพ่งและอาญา และแม้โจทก์จะไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยโดยจำเลยทำสัญญากับกรมพระนครบาลกระทรวงมหาดไทยว่า จำเลยเช่าที่ดินของศาลเจ้าปลูกตึกเก็บเงินกินเปล่าและค่าเช่าตึกครบ 25 ปี จำเลยยอมยกตึกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ศาลเจ้า เช่นนี้โจทก์ก็ยังมีอำนาจฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการนี้ได้เมื่อสัญญาเช่าที่ดินรายนี้ได้สิ้นอายุลงโดยผลแห่งสัญญานี้ ตึกดังกล่าวย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ศาลเจ้าไปในตัวโดยมิพักต้องทำพิธีโอนหรือให้จำเลยยินยอมยกให้แก่ศาลเจ้าอีกหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ปกครองศาลเจ้าแม่ประดู่ตามหนังสือแต่งตั้งของผู้ว่าราชการจังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2474 จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของศาลเจ้าแม่ประดู่เพื่อปลูกตึกและโดยมีข้อตกลงว่า เมื่อสร้างเสร็จแล้วจำเลยต้องส่งรายการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างต่อศาลากลางจังหวัดและในระหว่างสัญญา เมื่อจำเลยเก็บรายได้จากผู้เช่าตึกปีหนึ่งเท่าใด หักในดอกเบี้ยเงินทุนก่อสร้างในอัตราชั่งละ 50 สตางค์แล้ว เหลือเท่าใดจำเลยต้องส่งเงินรายได้ที่เหลือนั้นให้แก่ศาลเจ้าร้อยละ 5 ต่อปี การเช่าที่ดินมีกำหนด25 ปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2477 เป็นต้นมา เมื่อครบอายุการเช่าแล้วตึกและสิ่งปลูกสร้างตกเป็นกรรมสิทธิ์ของศาลเจ้า จำเลยได้ปลูกตึกเรียกเงินกินเปล่าและค่าเช่าตลอดมา แต่จำเลยไม่แสดงรายการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างหรือแบ่งรายได้ให้แก่ศาลเจ้าเป็นการผิดสัญญาตึกที่กล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของศาลเจ้าตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2500 โจทก์และผู้ว่าราชการจังหวัดได้ห้ามจำเลยมิให้เข้าเกี่ยวข้องในการให้เช่าหรือเก็บผลประโยชน์จากผู้เช่า จำเลยไม่เชื่อฟัง การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิด ถ้าจำเลยไม่เข้าเกี่ยวข้อง ศาลเจ้าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาท ตั้งแต่เดือนเมษายน 2500 ถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 11,970 บาท ขอให้ขับไล่และห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องกับตึกพิพาท กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 11,970 บาท กับค่าเสียหายต่อไปเดือนละ 3,000 บาท ถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะหยุดเข้ามาเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า โจทก์จะเป็นผู้ปกครองศาลเจ้าหรือมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหรือไม่ จำเลยไม่รับรอง โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลย ๆ ไม่ได้ผิดสัญญา ที่จำเลยมิได้แบ่งรายได้ให้กับศาลเจ้าเพราะไม่มีกำไร กรรมสิทธิ์ในตึกพิพาทยังเป็นของจำเลย จำเลยยังมิได้ยกให้แก่ศาลเจ้าตามข้อตกลง สัญญาเช่ายังไม่สิ้นอายุ เพราะจำเลยกับกระทรวงมหาดไทยได้ตกลงกัน ยืดอายุสัญญาต่อไปอีก 4 ปี
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลทั้งสอง ให้ขับไล่และไม่ให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับตึกรายพิพาท อันเป็นกรรมสิทธิ์ของศาลเจ้าต่อไปและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 3,000 บาท แก่โจทก์
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะกฎเสนาบดีว่าด้วยที่กุศลสถานชนิดศาลเจ้า ลงวันที่ 15 มีนาคม 2463 โจทก์ไม่มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับที่ดินของศาลเจ้า ทั้งโจทก์ก็ไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลย นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ปรากฏตามหนังสือของผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครได้แต่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการปกครองศาลเจ้าแม่ประดู่ตามความในกฎเสนาบดีที่กล่าวนั้นแล้ว โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามความในกฎข้อบังคับสำหรับการนี้ทุกประการ ซึ่งตาม ข้อ 14 แห่งกฎเสนาบดีว่าด้วยที่กุศลสถานชนิดศาลเจ้า ลงวันที่ 15 มีนาคม 2463ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า ถ้าเกี่ยวด้วยเรื่องศาลเจ้า ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าหรือที่ดินของศาลเจ้า โจทก์ในฐานะผู้ปกครองศาลเจ้าย่อมมีอำนาจหน้าที่ฟ้องคดีได้ทั้งแพ่งและอาญา กรณีนี้เป็นเรื่องจำเลยเช่าที่ดินของศาลเจ้า แม้โจทก์จะไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย โดยจำเลยทำสัญญากับกรมพระนครบาลกระทรวงมหาดไทย โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องได้
ข้อที่จำเลยกล่าวในฎีกาว่า หากฟังว่าสัญญาหมดอายุ กรรมสิทธิ์ในตึกก็ยังเป็นของจำเลย ๆ มิได้ยกกรรมสิทธิ์ให้ผู้ใดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ไม่ได้มีการต่ออายุสัญญาเช่าจากกำหนดเดิมแล้ว สัญญาเช่ารายนี้ก็สิ้นสุดอายุลงเป็นผลตามสัญญาให้ตึกพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ศาลเจ้าไปในตัวโดยมิพักต้องทำพิธีโอนหรือให้จำเลยยินยอมยกให้แก่ศาลเจ้าอีกหรือไม่