แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
รถยนต์เก๋งออกพ้นปากตรอกมาคารางรถรางอยู่ก่อนแล้วและไม่สามารถจะแล่นต่อไปในถนนได้ เพราะกำลังมีรถยนต์แล่นผ่านไปมาทั้งจะถอยหลังก็ไม่ได้เพราะจะชนรถยนต์บรรทุกที่แล่นสวนเข้าตรอกไปเวลานั้นจำเลยกำลังขับรถรางมาและจำเลยเห็นรถยนต์เก๋งในระยะไกลประมาณ 30 เมตรจำเลยก็ไม่หยุดหรือเบารถราง แต่จำเลยกลับโบกมือให้รถยนต์เก๋งถอยออกไป ต่อเมื่อเข้ามาในระยะใกล้แล้วจำเลยจึงได้พยายามหยุดรถ แต่หยุดไม่ทันท่วงทีรถรางจึงชนรถยนต์เก๋งเสียหาย เช่นนี้ ถือว่าจำเลยกระทำโดยประมาทตามกฎหมายแล้ว
ฎีกาว่า ศาลฟังข้อเท็จจริงโดยไม่มีพยานหลักฐานในสำนวนสนับสนุน เป็นฎีกาในข้อกฎหมาย
แต่ถ้าฎีกาว่า ศาลฟังโดยมีพยานหลักฐานแต่ไม่ควรฟังดังนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถรางชนรถยนต์เก๋งโดยประมาท ขอให้ลงโทษ
จำเลยต่อสู้ว่า รถยนต์แล่นตัดหน้ารถรางในระยะกระชั้นชิด
ศาลแขวงพระนครเหนือเห็นว่า เป็นความประมาทของจำเลยที่ขับรถรางชนรถยนต์เก๋งเสียหาย พิพากษาว่าจำเลยผิด พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 29, 66 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2481 มาตรา 4 ให้ปรับ จำเลย 100 บาท ใบอนุญาตขับรถรางยังไม่สมควรถอน
จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยข้อเดียวในปัญหาข้อกฎหมายว่าข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังมานั้นเป็นการกระทำโดยประมาทหรือไม่ นอกนั้นเป็นข้อเท็จจริง สั่งไม่รับจำเลยมิได้คัดค้านคำสั่งนี้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย 2 ข้อคือ (1) ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงผิดกฎหมายหรือไม่ (2) ข้อเท็จจริงตามที่ศาลฟังมานั้นเป็นการกระทำโดยประมาทตามกฎหมายหรือไม่
ส่วนปัญหาที่ว่าข้อเท็จจริงตามที่ศาลฟังมานั้นเป็นการกระทำโดยประมาทตามกฎหมายหรือไม่นั้น ได้ความตามศาลล่างฟังว่า รถเก๋งออกพ้นปากตรอกมาคารางรถรางอยู่ก่อนแล้ว และไม่สามารถจะแล่นไปในถนนต่อไปได้ เพราะขณะนั้นมีรถยนต์วิ่งผ่านไปมา รถเก๋งจำต้องรอก่อน และรถเก๋งจะถอยหลังก็ไม่ได้ เพราะขณะนั้นมีรถยนต์บรรทุกได้สวนเข้าตรอกไป หากถอยหลังก็จะโดนรถบรรทุกคันนั้น เวลานั้นจำเลยกำลังขับรถรางตรงมาและได้เห็นในระยะไกลประมาณ 30 เมตรจำเลยก็ไม่หยุดหรือเบารถ แต่จำเลยกลับโบกมือให้รถยนต์ถอยออกไปต่อเมื่อเข้ามาในระยะไกล้แล้วจำเลยจึงได้พยายามหยุดรถ จึงหยุดไม่ทันท่วงที และได้เกิดโดนกันขึ้นเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นเพราะความประมาทของจำเลยอันเป็นการกระทำโดยประมาทตามกฎหมายแล้ว
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ศาลฟังข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ผิดจากหลักฐานในสำนวนนั้น ข้อฎีกาของจำเลยตอนนี้ จะหมายความว่า ศาลฟังโดยไม่มีหลักฐานในสำนวนสนับสนุน อันเป็นข้อกฎหมายหรือจะหมายความว่าศาลฟังโดยมีพยานหลักฐานแต่ไม่ควรฟัง ดังนั้น อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงอย่างไรก็ดี ตามสำนวน มีหลักฐานว่า รถที่ถูกชนถอยหลังไม่ได้ เพราะติดรถกุดังที่สวนเข้าไปในตรอก จึงไม่ใช่เรื่องศาลฟังข้อเท็จจริงโดยไม่มีพยานหลักฐานในสำนวนสนับสนุน ส่วนที่ควรฟังเช่นนั้นหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกา