แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกระทำผิดฐานรับของโจร ความรับผิดทางแพ่งของจำเลยจะต้องมีอยู่เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดทางอาญาฐานรับของโจรเท่านั้น เมื่อผู้เสียหายได้รับของกลางที่จำเลยรับของโจรไว้คืนไปแล้ว จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนตามคำขอของโจทก์ได้อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนร่วมกันเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของนายนเรศ วันดี ผู้เสียหายโดยงัดประตูด้านหลังของเคหสถานดังกล่าว อันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลและทรัพย์ แล้วร่วมกันเอาทรัพย์สินต่าง ๆรวม 12 รายการ ราคาทั้งสิ้น 35,885 บาท ของผู้เสียหายซึ่งเก็บรักษาไว้ในเคหสถานดังกล่าวไปโดยทุจริต ต่อมาเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมยึดทรัพย์สินรวม 4 รายการ คิดเป็นเงิน 3,300 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินบางส่วนของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายร่วมกันลักไปอยู่ในความครอบครองของจำเลยเป็นของกลางทั้งนี้จำเลยกับนายบุญธรรมคำทา ซึ่งศาลพิพากษาลงโทษไปแล้วร่วมกันเป็นคนร้ายเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานของนายนเรศ วันดี ผู้เสียหาย โดยงัดประตูด้านหลังของเคหสถานดังกล่าวจนหลุดเปิดออกแล้วลักเอาทรัพย์สินรวม12 รายการ เป็นเงิน 35,885 บาท ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต หรือมิฉะนั้นจำเลยรับเอาทรัพย์สินบางส่วนของผู้เสียหายซึ่งถูกคนร้ายร่วมกันลักไปไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3834/2538 และ 770/2539 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357, 83 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายเป็นเงิน 5,695 บาท กับให้นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3834/2538 และ 770/2539ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 5 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายเป็นเงิน 5,695 บาทนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3834/2538หมายเลขแดงที่ 4448/2540 ของศาลชั้นต้น ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 770/2539 ของศาลชั้นต้นด้วยนั้น คดีดังกล่าวศาลยังมิได้พิพากษาจึงนับโทษต่อให้ไม่ได้ให้ยกคำขอส่วนนี้ ยกฟ้องโจทก์ข้อหาลักทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายโดยงัดประตูข้างบ้านเข้าไปลักเอาทรัพย์สินต่าง ๆ รวม 12 รายการราคาทั้งสิ้น 35,885 บาท ต่อมาวันที่ 23 พฤษภาคม 2538 เจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นที่บ้านจำเลยพบทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปบางส่วน ได้แก่ พระเครื่องเหรียญโลหะ และพระเครื่องเนื้อดินรวม27 องค์ นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโอเรียนท์ 1 เรือน กำไลข้อมือทองแดง 1 วงและโทรศัพท์ตั้งโต๊ะ 1 เครื่อง ราคาทั้งสิ้น 3,300 บาท ยึดไว้เป็นของกลางและคืนให้แก่ผู้เสียหายแล้ว
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรความรับผิดทางแพ่งของจำเลยจะต้องมีอยู่เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดทางอาญาฐานรับของโจรเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับของกลางที่จำเลยรับของโจรไว้คืนไปแล้ว จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนตามคำขอของโจทก์ได้อีก
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 5,695 บาทเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5