คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2006/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คนร้ายลักทรัพย์สองเจ้าของ และจำเลยได้รับทรัพย์ที่ถูกลักทั้งสองเจ้าของนั้นไว้ โดยโจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยได้รับทรัพย์ของกลางนั้นไว้ต่างคราวต่างวาระกันได้ จึงต้องฟังว่าจำเลยได้รับทรัพย์ของกลางทั้งสองรายนั้นไว้ในคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นการกระทำผิดฐานรับของโจรกรรมเดียว แต่โจทก์ได้แยกฟ้องจำเลยเป็นสองคดี คดีแรกจำเลยได้ถูกศาลพิพากษาลงโทษในความผิดฐานรับของโจรเสร็จเด็ดขาดไปแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิจะนำคดีมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรในคดีหลังอีก เพราะความผิดของจำเลยเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์ของผู้เสียหายไป และเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยทรัพย์ของผู้เสียหายเป็นของกลาง ทั้งนี้โดยจำเลยร่วมกันลักทรัพย์หรือมิฉะนั้นจำเลยบังอาจรับเอาทรัพย์ของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3)(4)(7)(8),357และนับโทษจำเลยต่อจากคดีแดงที่ 1844/2509

จำเลยที่ 1 รับสารภาพฐานลักทรัพย์ จำเลยที่ 2 รับสารภาพฐานรับของโจร จำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธ จำเลยทั้งสามรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอาญาเลขแดงที่ 1844/2509 ของศาลอาญา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานลักทรัพย์จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฐานรับของโจร และให้นับโทษจำเลยทั้งสามต่อตามขอ

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นลงโทษซ้ำไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 3 มิได้ยกขึ้นโต้เถียงในศาลชั้นต้นก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ และฟังว่าทรัพย์ของกลางทั้งสองคดี จำเลยที่ 3 ได้รับจากคนร้ายคราวเดียวกันจำเลยที่ 3 ได้ถูกฟ้องและศาลพิพากษาลงโทษฐานรับของโจรตามสำนวนคดีแดงที่ 1844/2509 เสร็จเด็ดขาดแล้ว สิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องสำหรับความผิดนั้นเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และเนื่องจากเป็นเหตุในลักษณะคดี จึงให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย

โจทก์ฎีกาว่าจำเลยร่วมกันรับทรัพย์ของกลางไว้ต่างกรรมต่างวาระกันจากคนร้ายในคดีแดงที่ 1844/2509 ขอให้ลงโทษ

ศาลฎีกาเห็นว่า ของกลางทั้งสองคดีดังกล่าวเจ้าพนักงานจับได้พร้อมกับจำเลยทั้งสามในคราวเดียวกัน วันเวลาและสถานที่เดียวกันและโจทก์ไม่ได้นำสืบว่าจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ได้รับทรัพย์ของกลางทั้งสองคดีไว้ต่างคราวต่างวาระกันแม้ในฎีกาของโจทก์ก็อ้างว่าจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 อาจได้รับทรัพย์ดังกล่าวไว้คนละคราวเท่านั้น หาได้ยืนยันไม่ คดีจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ได้รับทรัพย์ของกลางทั้งสองคดีไว้ในคราวเดียวกันซึ่งเป็นการกระทำผิดฐานรับของโจรกรรมเดียว แต่โจทก์ได้แยกฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นสองคดี เมื่อจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ได้ถูกโจทก์ฟ้องและศาลพิพากษาลงโทษในความผิดฐานรับของโจรเสร็จเด็ดขาดไปตามคดีแดงที่ 1844/2509 แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิจะนำคดีมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานรับของโจรเป็นคดีนี้อีก เพราะเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวกับคดีแดงที่ 1844/2509 และสิทธิที่โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 สำหรับความผิดนั้นเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) แล้ว

พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์

Share