คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1986/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บิดาโจทก์ครอบครองที่มรดกแทนโจทก์ไว้ตั้งแต่โจทก์ยังเยาว์ตลอดมา จนภายหลังที่โจทก์บรรลุนิติภาวะแล้วจนกระทั่งบิดาตาย ก็ไม่ปรากฏว่าได้บอกกล่าวแสดงเจตนาว่าจะไม่ยึดถือครอบครองแทนอีกต่อไป ฉะนั้น แม้โจทก์จะออกจากที่พิพาทไปนานแล้ว ก็ยังไม่ขาดอายุความฟ้องเรียกมรดกส่วนของตนซึ่งบิดาครอบครองแทนไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนายทองคำนางยี้ ซึ่งสมรสกันเมื่อปี 2452 โดยมารดามีสินเดิมมาอยู่กิน ส่วนบิดาไม่มี เกิดสินสมรสหลายอย่างรวมทั้งที่ดินแปลงพิพาทในปี 2471 มารดาตาย ส่วนของมารดาซึ่งมี 2 ใน 3 ส่วนในที่พิพาท จึงตกแก่บิดาและโจทก์ ซึ่งระหว่างนั้นยังเป็นผู้เยาว์อยู่กับบิดา ซึ่งใช้อำนาจปกครองโจทก์และทรัพย์มรดกส่วนของโจทก์แทนตลอดมา ยังมิได้แบ่งมรดกแก่โจทก์เป็นส่วนสัดครั้นในปี 2506 บิดาตายจึงปรากฏขึ้นว่าบิดาได้จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตรเกิดจากภริยาคนหลังแล้วตั้งแต่ปี 2498 โดยไม่มีสิทธิที่จะจำหน่ายจ่ายโอนส่วนที่เป็นของโจทก์ในที่พิพาทนี้ได้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้ในส่วนของโจทก์และใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วม

จำเลยต่อสู้ว่ามารดาโจทก์ไม่มีสินเดิมมาอยู่กิน หากจะถือว่าที่พิพาทเป็นสินสมรส ก็เป็นมรดกของบิดาคนเดียว หลังจากโจทก์บรรลุนิติภาวะแล้วได้ออกจากบ้านไปมิได้เกี่ยวข้องที่พิพาทมากว่า 20 ปีแล้ว บิดาได้ปกครองแทนโจทก์ และโจทก์มิได้เรียกร้องเอาจากบิดาจึงขาดอายุความแล้ว

ศาลชั้นต้นฟังว่า บิดามารดาโจทก์ต่างมีสินเดิมมาด้วยกันส่วนมรดกของมารดาจึงมีเพียง 1 ใน 3 ส่วนตามกฎหมายลักษณะผัวเมียซึ่งตกได้แก่บิดาครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งตกได้แก่ทายาทชั้นบุตรซึ่งในทางพิจารณาปรากฏว่าโจทก์ยังมีน้องสาวอีกคนหนึ่งจึงต้องแบ่งแก่โจทก์และนางหอมน้องสาวคนละครึ่ง โจทก์จึงได้ 1 ใน 12 ส่วนของที่พิพาทข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบิดาโจทก์ครอบครองส่วนของโจทก์ในที่พิพาทไว้แทนโจทก์ แม้โจทก์จะออกจากที่พิพาทไปนานแล้วก็ไม่ขาดอายุความฟ้องร้อง พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้เกี่ยวกับส่วนของโจทก์ จดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมหากไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาแสดงเจตนาจำเลย

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า มารดาโจทก์มีสินเดิมมาอยู่กินกับบิดาข้อเท็จจริงฟังได้มาแต่ศาลชั้นต้นว่า เมื่อมารดาตาย โจทก์ซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่ได้อยู่กับบิดาในที่พิพาทตลอดมาจนอายุได้ 25 – 26 ปี จึงออกไปอยู่ที่อื่น แต่ก็ยังไปมาหาสู่บิดาเสมอ พฤติการณ์แสดงว่าบิดาครอบครองที่มรดกไว้แทนโจทก์เมื่อไม่ปรากฏว่าบิดาได้บอกกล่าวให้โจทก์ทราบว่าไม่ประสงค์จะครอบครองแทนโจทก์ต่อไป ก็ต้องฟังว่าได้ครอบครองแทนตลอดมาระหว่างชีวิตของบิดาไม่ชอบที่จะเอาส่วนของโจทก์ไปโอนยกให้แก่จำเลยอันตนไม่มีสิทธิส่วนที่โจทก์ฎีกาว่ามรดกส่วนของมารดาควรแบ่งระหว่างบิดากับโจทก์จะนำน้องสาวโจทก์มาคิดส่วนแบ่งด้วยนั้นฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share