แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า ผู้ตายซึ่งเป็นสามีโจทก์ทำพินัยกรรมในขณะมีสติไม่สมบูรณ์ เพราะได้เอาสินบริคณห์หลายอย่างไปยกให้จำเลยขอให้พิพากษาทำลายพินัยกรรมทั้งฉบับ
ศาลฎีกาฟังว่า ผู้ตายทำพินัยกรรมโดยมีสติสมบูรณ์ แต่จำเลยให้การรับว่ามีทรัพย์รายการหนึ่งที่เป็นสินบริคณห์ระหว่างผู้ตายกับโจทก์ดังนี้ ย่อมพิพากษาว่าพินัยกรรมเฉพาะส่วนในรายการนั้นที่เป็นของโจทก์ไม่สมบูรณ์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ผู้ตายสามีทำพินัยกรรมยกสินบริคณห์ให้แก่จำเลยขณะทำพินัยกรรมผู้ตายมีสติไม่สมประกอบ ขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมเป็นโมฆะ
จำเลยต่อสู้ว่า ทรัพย์ที่โจทก์อ้างว่าเป็นสินบริคณห์นั้นเป็นสินเดิมของผู้ตายเว้นแต่ห้องแถวชั้นเดียว 7 ห้องซึ่งปลูกขณะที่โจทก์เป็นภรรยาผู้ตาย แต่ก็ปลูกโดยใช้ดอกผลของสินเดิม ขณะทำพินัยกรรมผู้ตายมีสติสมบูรณ์
ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ตายทำพินัยกรรมขณะมีสติสมบูรณ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า ขณะทำพินัยกรรมผู้ตายสติไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ผู้ตายเอาสินบริคณห์ไปทำพินัยกรรมยกให้ผู้อื่น และเหตุอื่น ๆ อีก ขอให้ศาลพิพากษาทำลายพินัยกรรม
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ตายมีสติสมบูรณ์ขณะทำพินัยกรรมและวินิจฉัยว่าจำเลยให้การรับว่าห้องแถวชั้นเดียว 7 ห้องเป็นสินบริคณห์
จึงพิพากษาแก้เป็นว่า พินัยกรรมไม่สมบูรณ์ เฉพาะส่วนในห้องแถวชั้นเดียว 7 ห้องที่เป็นของโจทก์