แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวิธีการบังคับคดีโดยระบุว่าให้รังวัดแบ่งที่พิพาทขายให้โจทก์ เนื้อที่ 2 งานซึ่งหมายความว่า ที่ดิน 2 งาน เมื่อคิดหน้าที่ดินที่ถูกตัดถนนแล้วยังเหลือเท่าใดก็โอนให้โจทก์ไปเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่กล่าวนี้ย่อมเป็นที่สุดและต้องรังวัดที่พิพาทเป็นจำนวนเนื้อที่ 2 งาน โดยรวมเนื้อที่ที่ถูกกันไว้เป็นถนนเข้าด้วย เหลือเท่าใดจึงโอนให้โจทก์ไปเท่านั้น ตามที่โจทก์แถลงไว้ต่อศาลดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแจ้งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินว่าการแบ่งแยกโฉนดพิพาทออกให้มีเนื้อที่ 2 งาน รวมทั้งเนื้อที่ที่ถูกเวนคืน 63 ตารางวาด้วย จึงเป็นการถูกต้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวโจทก์จะมาร้องใหม่อีกขอให้รังวัดที่พิพาทออกเป็น 263 ตารางวา แล้วกันส่วนที่ถูกเวนคืน 63 ตารางวาออกนั้น ไม่อาจทำได้เพราะนอกจากจะขัดกับคำแถลงของโจทก์เองแล้ว ศาลฎีกายังได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วอีกด้วย
เมื่อการบังคับคดีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดมา ก็จำต้องถือคำพิพากษาฉบับหลังที่สุดเป็นหลักดำเนินการบังคับคดีต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1, 2 ด้วยความรู้เห็นของจำเลยที่ 3 ทำสัญญาขายที่ดินโฉนดที่ 4760 ให้โจทก์ 2 งาน ขอให้บังคับจำเลยไปขอแบ่งแยกโฉนด ถ้าไม่อาจบังคับจำเลย ก็ขอให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1, 2 จัดการแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนขายให้โจทก์ 2 งาน ถ้าไม่สามารถขายได้ ให้จำเลยที่ 1, 2 คืนเงินมัดจำ 5,000 บาท ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษายืน
ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งคำพิพากษาไปยังเจ้าพนักงานที่ดิน
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า ถ้าแบ่งแยกตามคำสั่งศาล เนื้อที่ 200 ตารางวา ที่จะแบ่งให้โจทก์นั้น จะต้องรวมเนื้อที่ที่ถูกตัดเป็นถนนเข้าไปด้วย ฝ่ายจำเลยยอมอุทิศที่ดินของจำเลยให้เป็นถนน ขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์เป็นเนื้อที่ 2 งาน โดยมิให้รวมที่ดินที่ถูกตัดถนนนั้นเข้าด้วย
ศาลชั้นต้นสั่งว่าให้บังคับคดีไปตามข้อแม้ในคำพิพากษาของศาลกล่าวคือให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 5,000 บาท ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษายืน
โจทก์ยื่นคำร้องว่า บัดนี้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป เพราะเจ้าหน้าที่เทศบาลชี้เขตถนนผิด ทำให้โจทก์เข้าใจผิด ขอให้ศาลไต่สวนข้อเท็จจริง แล้วมีคำสั่งใหม่ให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินที่โอนให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลฎีกา
ศาลชั้นต้นให้งดการไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1, 2 ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำบังคับของศาล ในประการที่ให้จำเลยทั้งสองขอแบ่งแยกโฉนดรายพิพาท และจดทะเบียนขายให้โจทก์ เนื้อที่ 2 งาน หมายความว่าที่ดิน 2 งานนั้น เมื่อหักที่ดินที่ถูกตัดถนนเสียแล้ว ยังเหลือเท่าใด ก็โอนให้โจทก์ไปเท่านั้น ตามที่โจทก์แถลงไว้ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษายืน
ศาลชั้นต้นได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งศาลฎีกายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นไปยังเจ้าพนักงานที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินมีหนังสือถามมายังศาลชั้นต้นว่า การแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ 2 งาน เมื่อรวมกับเนื้อที่ตามบัญชีที่ดินท้ายพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2497 อีก 63 ตารางวา เป็นเนื้อที่ที่ต้องแบ่ง 2 งาน 63 ตารางวา จะถูกต้องตามคำพิพากษาหรือไม่ ศาลชั้นต้นตอบไปว่าเมื่อแบ่งแยกและหักเนื้อที่ 63 ตารางวาออกแล้ว ยังคงเหลือ 1 งาน 37 วาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลแจ้งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินใหม่ว่า ให้รังวัดที่ดินโฉนดที่ 4760 รายพิพาทออกเป็น 263 ตารางวา แล้วกันออกเป็นส่วนที่ถูกเวนคืน 63 ตารางวา ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์จะกลับมาร้องใหม่ในเหตุที่วินิจฉัยแล้วไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีนี้ถึงที่สุดชั้นศาลฎีกา ซึ่งพิพากษาให้จำเลยที่ 1, 2 จัดการแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ 4760 และจดทะเบียนขายให้โจทก์ 2 งาน ย่อมถือว่าถึงที่สุด และต้องบังคับคดีไปตามนี้ส่วนคำสั่ง (หรือคำพิพากษา)ในชั้นหลัง ๆ เป็นเพียงคำสั่งในชั้นบังคับคดี โดยถือเอาคำพิพากษาดังกล่าวข้างต้นเป็นหลักอยู่เรื่อยไป คำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 20 ตุลาคม 2507 ที่ให้แบ่งแยกโฉนดที่ 4760 ออกโดยให้มีเนื้อที่ 2 งาน รวมทั้งที่ถูกเวนคืน 63 ตารางวานั้น เป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่ตรงกับคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ย่อมร้องขอให้สั่งเสียให้ถูกต้องได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2508 ที่สั่งว่าโจทก์จะกลับมาร้องใหม่ไม่ได้นั้น จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกันพิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นแจ้งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินว่าให้จัดการแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ 4760 และจดทะเบียนขายให้โจทก์เป็นเนื้อที่ 2 งาน
จำเลยฎีกา
คดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้รังวัดที่พิพาทให้โจทก์ 2 งานโดยรวมเนื้อที่ที่ถูกเวนคืน 63 ตารางวาเข้าด้วย เป็นการถูกต้องหรือว่ารังวัดให้ได้เนื้อที่ 2 งานโดยไม่รวมเนื้อที่ที่ถูกเวนคืนเข้าด้วย ตามที่โจทก์ขอ
ศาลฎีกาเห็นว่าในชั้นบังคับคดีในขณะนี้ ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวิธีการบังคับคดี โดยระบุชัดเจนว่าให้รังวัดแบ่งที่พิพาทขายให้โจทก์เนื้อที่ 2 งาน โดยวัดจากหลักหมายเลขที่ 12021 ไปหาหลักเขตที่ 08080 ให้เป็นรูปเส้นแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ทั้งนี้ ให้หมายความว่าที่ดิน 2 งานนั้นเมื่อคิดหน้าที่ดินที่ถูกตัดถนนเสียแล้วยังเหลือเท่าใด ก็โอนให้โจทก์ไปเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่กล่าวนี้ย่อมเป็นที่สุดและต้องรังวัดที่พิพาทเป็นจำนวนเนื้อที่ 2 งาน โดยรวมเนื้อที่ที่ถูกกันไว้เป็นถนนเข้าด้วย เหลือเท่าใดจึงโอนไปเท่านั้น ตามที่โจทก์ได้แถลงไว้ต่อศาล ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแจ้งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินตามหนังสือที่ 4804/2507 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2507 ว่า การแบ่งแยกโฉนดที่ 4760 ออกให้มีเนื้อที่ 2 งานรวมทั้งเนื้อที่ที่ถูกเวนคืน 63 ตารางวาด้วย จึงเป็นการถูกต้องตรงตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่กล่าวข้างต้น โจทก์จะมาร้องใหม่อีกขอให้รังวัดที่พิพาทออกเป็น 263 ตารางวา แล้วกันส่วนที่ถูกเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกา 63 ตารางวา ออกนั้น ไม่อาจทำได้ เพราะนอกจากขัดกับคำแถลงของโจทก์เองแล้ว ศาลฎีกายังได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วอีกด้วย ถ้าจะอนุญาตตามที่โจทก์ร้องขอก็ไม่มีที่สิ้นสุดได้ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการบังคับคดีต้องอาศัยคำพิพากษา (เดิม) เป็นหลักอยู่เรื่อยไป คำสั่งของศาลชั้นต้น (ตอนหลังนี้) ไม่ถูกต้องและไม่ตรงกับคำพิพากษาจึงใช้ไม่ได้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะคดีนี้การบังคับคดีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดมา ก็จำต้องถือคำพิพากษาฉบับหลังที่สุดเป็นหลักดำเนินการบังคับคดีต่อไป ส่วนการบังคับคดีในชั้นนี้จะผิดแผกไปจากผลของคำพิพากษา (เดิม) บ้างก็เพราะได้เปลี่ยนแปลงวิธีการบังคับคดีโดยคำพิพากษามาศาลฎีกาดังที่กล่าวแล้วนั้น
พิพากษากลับ บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น