คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5585/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งหากจำเลยประสงค์จะใช้สิทธิฎีกาโดยขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษารับรองให้ฎีกาตามเงื่อนไขในมาตรา 221จำเลยก็ต้องดำเนินการใช้สิทธิดังกล่าวให้ถูกต้องเสียก่อนพ้นระยะเวลายื่นฎีกา
คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยยื่นฎีกาโดยมิได้ยื่นคำร้องขอใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 221 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาจำเลย ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิ่มเติมให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและให้จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลภายในเวลาศาลชั้นต้นกำหนดว่าประสงค์จะให้ผู้พิพากษาผู้มีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ หากไม่ยื่นคำร้องภายในกำหนดก็ให้ถือว่าศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกาเท่ากับเป็นการมีคำสั่งขยายระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณา ซึ่งคำสั่งเช่นนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ และศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23ประกอบ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ในเมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอใช้สิทธิตามมาตรา 221 จนล่วงพ้นกำหนดยื่นฎีกาและกรณีไม่มีเหตุสุดวิสัย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำหนดวันให้จำเลยดำเนินการดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหานี้แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 92 เม็ด น้ำหนักรวม 8.21 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำนวน 2 เม็ดน้ำหนัก 0.18 กรัม ให้แก่สายลับในราคา 200 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนจำนวน92 เม็ด กับธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน 200 บาท เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง และคืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าพนักงาน

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่งให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 6 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนในชั้นจับกุม เป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานและเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสี่ เฉพาะฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนคงจำคุก 3 ปี 9 เดือน รวมเป็นจำคุก 9 ปี 9 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง คืนธนบัตรล่อซื้อแก่เจ้าพนักงาน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนมาด้วยนั้น เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คดีนี้ความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นความผิดต่างกรรมกับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย 3 ปี 9 เดือน ในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนความผิดฐานนี้จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218วรรคหนึ่ง หากจำเลยประสงค์จะใช้สิทธิฎีกาโดยขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษารับรองให้ฎีกาตามเงื่อนไขในมาตรา 221 จำเลยก็ต้องดำเนินการใช้สิทธิดังกล่าวให้ถูกต้องเสียก่อนพ้นระยะเวลายื่นฎีกา แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2543 และมีคำสั่งขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้แก่จำเลยถึงวันที่ 17 มีนาคม 2543 จำเลยยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2543 โดยมิได้ยื่นคำร้องขอใช้สิทธิตามมาตรา 221มาพร้อมด้วย เดิมศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาจำเลยเมื่อวันที่ 17 มีนาคม2543 ต่อมาวันที่ 20 มีนาคม 2543 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิ่มเติมในฎีกาจำเลยเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และให้จำเลยแถลงหรือยื่นคำร้องต่อศาลภายในวันที่ 21 มีนาคม 2543 ว่าประสงค์จะให้ผู้พิพากษาผู้มีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ หากไม่ยื่นคำร้องภายในวันดังกล่าวก็ให้ถือว่าศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกา ครั้นวันที่ 21 มีนาคม 2543ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่เป็นว่า ให้รับฎีกาจำเลยเฉพาะความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้น คงถือตามคำสั่งลงวันที่ 20 มีนาคม2543 ในวันเดียวกันจำเลยจึงยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ร่วมพิจารณาและตัดสินคดีนี้ลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาของจำเลยว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาก็ได้ลงลายมือชื่อรับรองให้เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543 และต่อมาศาลชั้นต้นก็มีคำสั่งรับฎีกาจำเลยดังนี้ เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำหนดวันให้จำเลยยื่นคำแถลงหรือยื่นคำร้องตามมาตรา 221 นั้น เท่ากับเป็นการมีคำสั่งขยายระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณา ซึ่งคำสั่งเช่นนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ และศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้นเว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ในเมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอใช้สิทธิตามมาตรา 221 จนล่วงพ้นกำหนดยื่นฎีกา และกรณีไม่มีเหตุสุดวิสัยด้วยเลยเช่นนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำหนดวันให้จำเลยดำเนินการดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษารับรองตามมาตรา 221 เมื่อพ้นกำหนดยื่นฎีกา ปัญหานี้แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ดังนั้น คำสั่งของผู้พิพากษาที่รับรองให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับฎีกาจำเลยในความผิดดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง และมาตรา 221 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ข้อเท็จจริงจึงรับฟังยุติตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 2 เม็ด โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

สำหรับปัญหาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวน 90 เม็ด จากจำนวน 92 เม็ด ที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอให้รับฟังว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวน 90 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่เมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นทรัพย์สินซึ่งมีไว้เป็นความผิด ที่ศาลอุทธรณ์ริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32จึงชอบแล้ว

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

Share