คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3598/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 แม้เป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง ผู้อุทธรณ์ก็ต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ทั้งยังเป็นหน้าที่ของผู้อุทธรณ์ ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวโดยศาลชั้นต้นไม่จำต้องมีคำสั่งให้ปฏิบัติก่อนคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ เพราะเหตุที่ผู้อุทธรณ์ไม่ปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าวชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้เงินกู้จำนวน 2,001,296.75 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,671,757.67 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับขอให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วนจำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้ง โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง

ระหว่างพิจารณา ทนายจำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยานจำเลยทั้งสอง โดยจะขอทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปนัดทำยอมหรือนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 21 ธันวาคม 2541เวลา 8.30 นาฬิกา ถึงวันเวลานัดฝ่ายจำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาให้โจทก์ฟังไปฝ่ายเดียว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน1,671,757.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ถ้ายังไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000บาท ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมฟ้องแย้งให้เป็นพับ

จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2541 อ้างว่าทนายจำเลยที่ 1 มิได้จงใจขาดนัดพิจารณา ขอศาลชั้นต้นนัดพร้อมโจทก์และจำเลยเพื่อมาทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันใหม่หรือนัดพิจารณาคดีใหม่

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลจึงนัดพร้อมเพื่อทำยอมหรือฟังคำพิพากษา เมื่อจำเลยไม่มาศาลมิใช่กรณีที่จำเลยจงใจขาดนัดพิจารณา ให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์คำพิพากษา แต่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลที่สั่งเมื่อวันที่ 21ธันวาคม 2541 จึงเป็นการยื่นอุทธรณ์พ้นกำหนดเวลาการอุทธรณ์จึงไม่รับอุทธรณ์

จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ เท่ากับขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 จึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229ทั้งมิได้วางเงินหรือหาประกันสำหรับหนี้ที่จะต้องชำระตามคำพิพากษามาวางศาลเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 บัญญัติว่า “ถ้าศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์คำสั่งศาลนั้น ไปยังศาลอุทธรณ์โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นและนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง” การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตามบทบัญญัติดังกล่าว แม้จะเป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งก็ตาม จำเลยที่ 1 ก็ต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล หาใช่จะต้องปฏิบัติเฉพาะกรณีอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาเพียงกรณีเดียวไม่ ทั้งยังเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวด้วย โดยศาลชั้นต้นไม่จำต้องมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติก่อน คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์เพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงหาใช่เป็นเรื่องการวินิจฉัยนอกประเด็นดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาคำสั่งให้ยกคำร้องของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share