คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2569/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การตกลงกันกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์สินกันใหม่โดยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อเลิกคดีที่พิพาทกันอยู่ในศาล ไม่ถือว่าเป็นการขยายเวลาไถ่ในภายหลังตามความหมายของมาตรา 496 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการทำความตกลงกันใหม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาไถ่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแม้จะได้กระทำหลังจากกำหนดเวลาตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีคำพิพากษาตามยอมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นการขยายเวลาไถ่ในภายหลังตามความหมายของมาตราดังกล่าวดุจกันและข้อตกลงในประการหลังนี้ เป็นแต่การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาประนีประนอมยอมความไม่นับว่าเป็นข้อตกลงส่วนหนึ่งของสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์อันจะต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ในกรณีที่มิต้องบังคับคดีโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดี ก็มิใช่เรื่องที่จะต้องออกหมายบังคับคดีเสียก่อน เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลก็มีอำนาจสั่งจับกุมและกักขังจำเลยได้ทีเดียว (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 452/2491)

ย่อยาว

คดีในชั้นบังคับคดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 12147 ตำบลบางยี่ขัน พร้อมด้วยบ้าน 4 หลัง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินไว้แก่โจทก์ครบกำหนดแล้วจำเลยมิได้ไถ่ถอนและไม่ยอมออกไปขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าวกับให้ใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาแต่โจทก์เองเป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยไม่ยอมไปรับไถ่ถอนตามกำหนดนัด จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์เพื่อให้โจทก์รับไถ่ถอนแล้วตามคดีหมายเลขดำที่ 5004/2520 ของศาลแพ่ง

ต่อมาโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลมีใจความว่าจำเลยและบริวารยอมอพยพขนย้ายออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 12147 ของโจทก์ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2520 หากจำเลยกับบริวารไม่ออกไปยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีและยอมชำระค่าเสียหายให้โจทก์จนกว่าจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่ถ้าจำเลยได้ไถ่ถอนที่พิพาทจากโจทก์ตามที่คู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความภายในกำหนดแล้วโจทก์ก็ไม่ติดใจเรียกร้องเอาค่าเสียหายและบังคับคดีแก่จำเลย ศาลพิพากษาตามยอม

ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลจับกุมจำเลยและบริวาร ศาลชั้นต้นสั่งนัดไต่สวนคำร้อง ในวันนัดจำเลยแถลงว่าจำเลยและบริวารยังอยู่ในที่พิพาทจริง จำเลยได้ไปขอไถ่ถอนที่พิพาทจากโจทก์ตามกำหนดในสัญญาประนีประนอมยอมความแต่โจทก์ไม่อาจให้ไถ่ได้เพราะได้นำโฉนดที่ดินไปประกันผู้ต้องหาไว้ จำเลยจึงถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่มีสิทธิบังคับคดีแก่จำเลย โจทก์แถลงว่า โจทก์ไม่มีโฉนดที่ดินพิพาทให้ไถ่ถอนออกไปเป็นระยะแรกภายในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2520 หากไถ่ถอนไม่ทันให้ยืดเวลาออกไปอีก 60 วัน เมื่อครบกำหนดระยะเวลาทั้ง 2 ระยะแล้วจำเลยไม่ได้จัดการไถ่ถอนตามข้อตกลงจำเลยแถลงว่าก่อนครบกำหนดและในวันครบกำหนด 60 วัน จำเลยเคยไปขอพบโจทก์เพื่อขอไถ่ถอนตามข้อตกลง แต่วันนั้นจำเลยมีเงินค่าไถ่ไปไม่ครบ โจทก์ จึงไม่ยอมให้ไถ่ถอน โจทก์แถลงว่า จำเลยมีเงินไปเพียง 3 หมื่นบาทเศษ ทั้ง ๆ ที่ จะต้องไถ่ในราคา 4 แสนบาทเศษ

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอจะวินิจฉัยได้แล้วสั่งงดไต่สวนและเห็นว่าจำเลยไม่จัดการไถ่ถอนตามข้อตกลง และจำเลยมีเงินไม่ครบถ้วนที่จะไถ่ถอนในวันนั้น ถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีสิทธิอยู่ในที่พิพาทอีกต่อไป และจำเลยสามารถปฏิบัติตามคำบังคับ คือออกไปจากที่พิพาทได้ ทั้งโจทก์ก็ไม่มีวิธีการอื่นใดที่จะบังคับคดีได้ จึงมีคำสั่งให้ออกหมายกักขังจำเลยไว้ แต่ไม่เกิน 1 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาที่ว่าการที่โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือตกลงกำหนดวันไถ่ถอนกันใหม่นั้นเป็นการขยายเวลาไถ่ถอนการขายฝากโดยตรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 496 หรือไม่ดังนี้ เดิมจำเลยทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทพร้อมด้วยเรือนซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ มีกำหนดไถ่ถอนภายในวันที่ 18 มีนาคม 2520 ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยไม่ได้ไถ่ถอนจนพ้นกำหนดเวลาแล้วและยังอยู่ในที่ดินพิพาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไป จำเลยก็ฟ้องขอให้บังคับให้โจทก์ยอมให้จำเลยไถ่ที่ดินพิพาท แต่ไม่ว่าฝ่ายโจทก์หรือฝ่ายจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาขายฝาก และจำเลยยังมีสิทธิไถ่ที่ดินพิพาทได้อยู่อีกหรือไม่ก็ตาม โจทก์จำเลยก็ได้ร่วมใจกันระงับข้อพิพาทตามที่ได้ฟ้องร้องเป็นคดีกันนี้เสีย โดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันทั้ง 2 คดี และศาลได้พิพากษาตามยอมให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว โดยตกลงกำหนดเวลาไถ่ถอนที่ดินพิพาทกันใหม่เป็นภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2520 การตกลงกันกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์สินกันใหม่ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อเลิกคดีที่พิพาทกันอยู่ในศาลเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการขยายระยะเวลาไถ่ในภายหลังตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 496ซึ่งข้อนี้จำเลยเองก็มิได้มีความสงสัยและทักท้วง ครั้นเมื่อเวลาไถ่ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเกิดมีอุปสรรคขึ้นไม่อาจดำเนินการไถ่ให้สำเร็จไปได้ โจทก์จำเลยก็มิได้ถือเอากำหนดเวลาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเกณฑ์ที่จะบังคับคดีไปตามนั้นหากแต่ได้ตกลงกำหนดเวลาไถ่กันใหม่ตามเอกสารหมายเลข 1 แล้วจำเลยกลับมาอ้างว่าการที่โจทก์จำเลยทำหนังสือตกลงกำหนดเวลาไถ่กันใหม่นี้เป็นการขยายเวลาไถ่ซึ่งต้องห้ามตามมาตรา 496 เช่นนี้หาชอบไม่ เพราะการตกลงกำหนดเวลาไถ่กันใหม่ โดยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อเลิกคดีในศาลไม่ถือว่าเป็นการขยายเวลาไถ่ในภายหลังตามความหมายของมาตรา 496 ฉันใด การทำความตกลงกันใหม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาไถ่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็ยอ่มไม่ถือว่าเป็นการขยายเวลาไถ่ในภายหลังตามความหมายของมาตราดังกล่าวฉันนั้น

ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า การขายฝากอสังหาริมทรัพย์จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน ข้อตกลงตามเอกสารหมายเลข 1 ไม่ได้จดทะเบียนจึงไม่สมบูรณ์ (เป็นโมฆะ) ตามมาตรา 115 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น เห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นการตกลงกันที่จะไม่ถือเอากำหนดเวลาไถ่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความมาเป็นเกณฑ์ในการขอบังคับคดี และได้ตกลงกำหนดเวลาไถ่กันขึ้นใหม่ดังนี้ เป็นแต่การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่นับว่าเป็นข้อตกลงส่วนหนึ่งของสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์อันจะต้องจดทะเบียน

ปัญหาที่ว่าศาลชั้นต้นออกหมายกักขังจำเลยโดยมิได้ปฏิบัติตามขั้นตอน เพราะไม่ปรากฏว่าได้มีการออกหมายบังคับคดี ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ากรณีแห่งคดีนี้ไม่ใช่กรณีที่จะบังคับคดีโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องออกหมายบังคับคดีเสียก่อน เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลก็มีอำนาจสั่งจับกุมและกักขังจำเลยได้ นัยคำพิพากษาฎีกาที่ 452/2491

พิพากษายืน

Share