คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1464/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยบังคับให้ บ. ยืมเงิน ท. มาให้จำเลย การที่จำเลยถือปืนขู่ บ. เป็นการขู่ ท. อยู่ในตัว ท. หยิบเงินออกมายังไม่ทันส่งมอบแก่ บ. จำเลยเอาเงินไปจากมือ ท. เป็นชิงทรัพย์ ท.

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิตฐานฆ่า จ. โดยเจตนาตามมาตรา 288 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ประหารชีวิตตาม มาตรา 289(6)(7)จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อหาตามฟ้องข้อ ข. นั้น โจทก์มีนางบรรจงวงษ์ธัญกาญจน์ เบิกความว่าได้ยินเสียงปืน ต่อมาประมาณ 2 นาทีเห็นจำเลยถือปืนสั้นวิ่งขึ้นบนเรือนนายโท สุวรรณพยัคฆ์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามบ้านพยาน แล้วขึ้นมาบนเรือนพยานทั้ง ๆ ยังถือปืนอยู่และใช้ปืนขู่เข็ญบังคับจะเอาเงินจากพยาน พยานบอกว่าไม่รู้ว่าเงินอยู่ที่ไหน จำเลยบังคับให้ไปพูดขอยืมเงินจากนายโทโดยให้พยานเดินนำหน้าจำเลยขึ้นไปบนเรือนนายโท พยานกลัวจึงขึ้นไปพูดยืมเงินจากนายโท นายโทหยิบเงินออกมาจำเลยแย่งเอาเงินไปจากมือนายโทแล้วลงเรือนไป ทราบภายหลังว่าเป็นเงิน 2,700 บาท และโจทก์มีนายโท สุวรรณพยัคฆ์เบิกความรับรองดังกล่าวแล้ว ไม่ปรากฏว่าพยานทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย จึงไม่ระแวงสงสัยว่าจะเป็นการใส่ร้าย นอกจากนั้นจำเลยยังเป็นหลานภริยาของนายโทอีกด้วย การที่จำเลยเอาเงินไปจากมือนายโทนั้น เงินยังไม่ได้ส่งมอบให้แก่นางบรรจง คงยังเป็นของนายโทอยู่ และการที่จำเลยใช้ปืนขู่นางบรรจงนางบรรจงขึ้นมาบนเรือนนายโท ให้เอาเงินจากนายโท โดยการใช้อาวุธปืนนั้นขู่เข็ญบังคับนางบรรจง โดยสภาพย่อมเป็นการขู่เข็ญบังคับนายโทอยู่ในตัวนายโทเองก็เบิกความรับว่าไม่กล้าแย่งเงินคืนเพราะกลัวจำเลย ดังนั้นจำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์นายโท ตามฟ้องข้อ ข. อีกกระทงหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยและบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น”

Share