แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการมอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่จำเลยร่วมเพื่อชำระค่าโทรทัศน์สี แต่จำเลยร่วมมิได้ส่งมอบเครื่องรับโทรทัศน์ให้จำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 3 ได้ทวงถามเช็คพิพาทคืน แต่จำเลยร่วมไม่คืนให้เพราะนำไปขายลดแก่โจทก์และโจทก์ได้ฟ้องจำเลยร่วมและผู้สั่งจ่ายเช็ครายอื่นรวม 12 คน ให้ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คจำนวน 20 ฉบับซึ่งมีเช็คพิพาทรวมอยู่ด้วย ต่อมาโจทก์และจำเลยร่วมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยร่วมยินยอมชำระเงินให้โจทก์ถือว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องตามเช็คพิพาทไปแล้วโดยได้สิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หนี้ตามเช็คพิพาทระงับสิ้นไป โจทก์ไม่มีสิทธินำเช็คพิพาทมาเรียกร้องให้ผู้สั่งจ่ายชำระเงินอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 167,606.54 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 156,000บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า เช็คพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายให้แก่บริษัทพอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อชำระราคาสินค้ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทได้ระงับไปแล้ว เนื่องจากโจทก์ฟ้องบริษัทพอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด กับพวกต่อศาลแพ่งตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 22414/2539 ต่อมาโจทก์และบริษัทพอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด กับพวกทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยบริษัทพอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัดกับพวกยอมชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทพอสโซ่(ประเทศไทย) จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม และจำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายนางอนงค์ เตียรถ์สุวรรณ ภริยาจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 156,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องไม่ให้เกิน 11,606.54 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และจำเลยร่วม
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายนั้นการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 ฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คพิพาท จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายให้แก่จำเลยร่วมเพื่อชำระค่าโทรทัศน์สีแต่จำเลยร่วมมิได้ส่งมอบเครื่องรับโทรทัศน์ให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 ได้ทวงถามเช็คพิพาทคืนจากจำเลยร่วม แต่จำเลยร่วมไม่คืนให้เพราะเหตุได้นำไปขายลดแก่โจทก์และโจทก์ได้ฟ้องจำเลยร่วมและผู้สั่งจ่ายเช็ครายอื่นรวม 12 คน ให้ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คจำนวน 20 ฉบับ ซึ่งมีเช็คพิพาทรวมอยู่ด้วย ปรากฏตามสำเนาคำฟ้องคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 22414/2539เอกสารหมาย จ.2 คดีดังกล่าวโจทก์และจำเลยร่วมได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยร่วมตกลงยินยอมชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้องปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.3 แต่โจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลยร่วมทำให้หนี้ตามเช็คพิพาทระงับไปแล้วหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมในฐานะผู้ทรงเช็คพิพาทคนก่อนซึ่งนำมาสลักหลังขายลดให้แก่โจทก์จำเลยร่วม จำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมเป็นลูกหนี้ร่วมสำหรับหนี้ตามเช็คพิพาทเมื่อโจทก์และจำเลยร่วมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยร่วมยอมชำระหนี้ที่มีต่อโจทก์รวมทั้งหนี้เงินตามเช็คพิพาทด้วย ถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องตามเช็คพิพาทไปแล้วโดยได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญาประนีประนอมยอมความ หนี้ตามเช็คพิพาทเป็นอันระงับสิ้นไป โจทก์จึงไม่มีสิทธินำเช็คพิพาทมาเรียกร้องให้ผู้สั่งจ่ายชำระเงินอีก ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4