คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 901/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1453 สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกัน ดังนั้น เมื่อสามีโจทก์ถูกจำเลยยิงตายโดยละเมิด จำเลยจึงต้องชดใช้ที่โจทก์ขาดไร้อุปการะจากสามี และแม้โจทก์จะนำสืบไม่ได้แน่นอนว่าค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเท่าใด ศาลก็กำหนดให้ได้ตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิด
โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และได้ยื่นคำขอต่อศาลขอว่าความอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้โจทก์ฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถาได้โดยไม่จำต้องฟังคำคัดค้านของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนเพราะในกรณีเช่นนี้เป็นเรื่องระหว่างศาลกับคู่ความที่ร้องขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาชอบด้วยกฎหมายของนายชลอ ธีรเดช เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2516 จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายชลอถึงแก่ความตาย การทำละเมิดของจำเลยทำให้โจทก์ต้องขาดไร้อุปการะค่าเลี้ยงดูจากสามี ขณะนายชลอถูกยิงตายมีอายุ 28 ปี รับราชการกรมทางหลวงแผ่นดิน มีรายได้เดือนละ 1,250บาท ให้ค่าเลี้ยงดูโจทก์เดือนละ 500 บาท นายชลอจะได้เลื่อนเงินเดือนสูงตามลำดับถึง 5,000 บาทต่อเดือนเป็นอย่างต่ำ จะรับราชการอยู่อีกนานถึง 32 ปี ใน 2 ปีแรกโจทก์ขอคิดค่าเสียหายที่ขาดค่าเลี้ยงดูเดือนละ 500 บาท เป็นเงิน 12,000 บาท 10 ปีถัดไปเดือนละ 800 บาท เป็นเงิน 96,000 บาท 10 ปี ถัดไปเดือนละ 1,000 บาท เป็นเงิน 120,000 บาท 10 ปีสุดท้ายเดือนละ 1,200 บาทเป็นเงิน 144,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหาย 372,000 บาท นอกจากนี้จำเลยทำให้โจทก์ขาดไร้อุปการะ ไม่ได้รับความอบอุ่นจากสามีขอคิดค่าเสียหายเดือนละ1,000 บาท เป็นเวลา 32 ปี คิดเป็นเงิน 384,000 บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 756,000 บาท โจทก์ติดใจเรียกร้องเพียง 500,000 บาท ขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ภรรยานายชลอ ธีรเดช ผู้ตายเป็นน้องชายร่วมบิดามารดาเดียวกับจำเลย วันเกิดเหตุผู้ตายวิวาทกับจำเลยแล้วใช้ปืนยิงจำเลยหลายนัด จำเลยยิงไปเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องจำเลยแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิด ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องไม่แน่นอนและไม่เป็นความจริง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพราะเหตุขาดไร้อุปการะเป็นเงิน 60,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ3,000 บาทแทนโจทก์

โจทก์ จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า การกระทำของจำเลยเป็นละเมิด ไม่ใช่ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและวินิจฉัยว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1453 วรรคสอง บัญญัติว่า สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกัน เมื่อสามีโจทก์ถูกจำเลยยิงตายโดยละเมิด จำเลยจึงต้องชดใช้ที่โจทก์ขาดไร้อุปการะจากสามีส่วนค่าสินไหมทดแทนจะเป็นเท่าไรนั้น แม้โจทก์จะนำสืบไม่ได้แน่นอนว่าเป็นจำนวนเท่าใด ศาลก็กำหนดให้ได้ตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิดซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้เป็นเงินหนึ่งแสนบาท

ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า โจทก์ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาโดยจำเลยไม่มีโอกาสคัดค้าน เป็นการไม่ชอบนั้น ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตจากศาลให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์และได้ยื่นคำขอต่อศาลขอว่าความอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งคำขอของโจทก์ว่า คดีมีเหตุสมควรที่จะฎีกาและถือว่าโจทก์ยังเป็นคนยากจนอยู่โดยไม่ปรากฏเหตุเป็นอย่างอื่น อนุญาตให้โจทก์ฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถาและสั่งรับฎีกาโจทก์ เช่นนี้เป็นการถูกต้องตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2499 มาตรา 11 แล้ว การที่ศาลอนุญาตให้ว่าความอย่างคนอนาถาในกรณีเช่นนี้ เป็นเรื่องระหว่างศาลกับคู่ความที่ร้องขอไม่จำต้องฟังคำคัดค้านของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อน

พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงินหนึ่งแสนบาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียม 3 ศาล โดยกำหนดค่าทนายความ 3 ศาลเป็นเงิน 6,000 บาทแทนโจทก์ สำหรับค่าธรรมเนียมศาลที่โจทก์ได้รับยกเว้นให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถานั้น ให้จำเลยชำระต่อศาลในนามโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลเท่าที่โจทก์ชนะคดี

Share