คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อที่ดินเป็นสินสมรส ตึกแถวซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินจึงตกเป็นสินสมรสด้วย
ข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1466วรรคท้ายใช้เฉพาะกรณีที่โต้เถียงกันว่าทรัพย์นั้นเป็นสินเดิม สินส่วนตัว หรือสินสมรสเท่านั้น จะนำมาใช้ในกรณีที่มีข้อโต้เถียงว่าเป็นทรัพย์ของบุคคลอื่นไม่ได้
โจทก์มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดเมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าถือกรรมสิทธิ์แทนผู้อื่นจึงเป็นหน้าที่โจทก์ที่จะต้องนำสืบก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของขุนนราจีนรณก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 จำเลยเป็นบุตรขุนนราจีนรณและโจทก์ที่ 1 ขณะสมรสกับขุนนราจีนรณ โจทก์ทั้งสองต่างมีสินเดิมมาด้วย แต่ได้ขายใช้จ่ายหมดไประหว่างเป็นสามีภริยากัน เกิดสินสมรสคือที่ดินโฉนดเลขที่ 3366, 5303 และ 5304 ซึ่งลงชื่อจำเลยในโฉนดทั้งสามฉบับเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนกับตึกแถว 4 ห้องบนที่ดินดังกล่าว โดยจำเลยรับเงินจากขุนนราจีนรณไป 500,000 บาท เพื่อก่อสร้าง ต่อมาขุนนราจีนรณถึงแก่กรรม โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในสินสมรสดังกล่าวหนึ่งในสาม จำเลยอ้างว่าขุนนราจีนรณทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้จำเลยคนเดียว ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะขณะนั้นขุนนราจีนรณป่วยหนักจนไม่มีสติสัมปชัญญะจะทำพินัยกรรมได้ อย่างไรก็ตามขุนนราจีนรณไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินสมรสส่วนของโจทก์ทั้งสองให้จำเลยได้ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพร้อมตึกแถวตามฟ้องเป็นสินสมรสและนำออกขายทอดตลาดแบ่งเงินให้โจทก์ทั้งสองหนึ่งในสามถ้าไม่สามารถกระทำได้ ให้จำเลยชำระเงินแทนพร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยให้การและฟ้องแย้งโจทก์ที่ 2 ว่า ที่ดินทั้งสามแปลงตามฟ้องเป็นของจำเลยซื้อมาด้วยเงินของจำเลยทั้งสิ้น และจำเลยได้ครอบครองด้วยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินสิบปีแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ จำเลยเป็นผู้ปลูกสร้างตึกแถว 8 ห้องด้วยเงินของจำเลยเอง แต่เวลาปลูกสร้างขุนนราจีนรณได้ให้เงินแก่จำเลยโดยเสน่หาตามหน้าที่ศีลธรรมอันดี จำนวน 100,000 บาทเศษ เพื่อนำมาปลูกสร้างตึกแถวนั้น เมื่อขุนนราจีนรณมีชิวิตอยู่ ขุนนราจีนรณกับโจทก์ที่ 2 ได้ซื้อที่ดินและปลูกสร้างบ้านเลขที่ 283 ขึ้นที่หมู่บ้านเศรษฐกิจ ขณะนี้มีราคา 150,000 บาท อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ 2 กับขุนนราจีนรณ และตกเป็นมรดกของขุนนราจีนรณสองในสามส่วน ซึ่งจำเลยมีสิทธิได้รับตามพินัยกรรมที่ขุนนราจีนรณทำไว้ จึงฟ้องแย้งขอให้ศาลบังคับให้โจทก์ที่ 2 แบ่งมรดกบ้านเลขที่ 283 พร้อมที่ดินให้จำเลยสองในสามส่วน ถ้าไม่สามารถแบ่งได้ก็ให้ขายทอดตลาดแบ่งเงินให้จำเลยตามส่วน

โจทก์ที่ 2 ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินและบ้านเลขที่ 283 ไม่ใช่สินสมรส ความจริงเป็นของนางสมนึก มีนะโตรี บุตรโจทก์ที่ 2 กับขุนนราจีนรณแต่นางสมนึก มีนะโตรี ให้ลงชื่อโจทก์ที่ 2 แทนไว้

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินทั้ง 3 แปลง และตึกแถว 8 ห้องเป็นของจำเลย ไม่ใช่สินสมรสระหว่างโจทก์ทั้งสองกับขุนนราจีนรณ ทรัพย์สินตามฟ้องแย้งก็ฟังไม่ได้ว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ 2 กับขุนนราจีนรณ พิพากษายกฟ้องโจทก์ และยกฟ้องแย้งจำเลย

โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 3366, 5303 และ 5304 พร้อมด้วยตึกแถวที่ปลูกอยู่บนที่ดินให้โจทก์ทั้งสองหนึ่งในสามส่วน ถ้าแบ่งไม่ได้ให้นำที่ดินและตึกแถวดังกล่าวออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้โจทก์ทั้งสองตามส่วนให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 8452 ให้จำเลยสองในสามส่วนตามพินัยกรรมถ้าแบ่งไม่ได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้จำเลยตามส่วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

โจทก์ทั้งสองฎีกาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 8452 ตามฟ้องแย้งไม่ใช่สินสมรส จำเลยฎีกาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 3366, 5303 และ 5304 เป็นของจำเลย จำเลยครอบครองมาด้วยความสงบโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินสิบปีแล้ว ฟ้องโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับที่ดินตามโฉนดดังกล่าวเคลือบคลุม และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ทั้งสองได้รับส่วนแบ่งในสินสมรสโดยมิได้ระบุว่ามีส่วนได้คนละเท่าไร เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายลักษณะผัวเมีย

ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ที่ 1 ได้มรณะ ศาลฎีกาอนุญาตให้นายตั้งหยี่ แซ่ตั้ง เข้าเป็นคู่ความแทน

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 3366, 5303 และ 5304 ขุนนราจีนรณเป็นผู้ซื้อ แต่ให้ลงชื่อจำเลยซึ่งเป็นบุตรแทนในโฉนด ส่วนตึกแถวเป็นส่วนควบของที่ดินจึงตกเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 107 วรรคสอง เมื่อเป็นเรื่องที่จำเลยครอบครองแทนจึงไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ยันโจทก์ทั้งสองได้ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับสินสมรสเคลือบคลุมนั้น จำเลยมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์ และไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225, 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนปัญหาที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแบ่งสินสมรสให้โจทก์หนึ่งในสาม โดยมิได้ระบุว่ามีส่วนได้คนละเท่าไรเป็นการไม่ชอบนั้น ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์ทั้งสองไม่เกี่ยวกับจำเลย ที่โจทก์ที่ 2 ฎีกาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 8452 เป็นของนางสมนึก มีนะโตรี หรือเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ 2 กับขุนนราจีนรณตามโฉนดที่ดินดังกล่าวมีชื่อโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เกี่ยวกับหน้าที่นำสืบที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1466 วรรคท้ายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรสเป็นหน้าที่โจทก์ที่ 2 ที่จะนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อสันนิษฐานดังกล่าวใช้เฉพาะกรณีที่โต้เถียงกันว่าทรัพย์นั้นเป็นสินเดิม สินส่วนตัว หรือสินสมรสเท่านั้น จะนำมาใช้ในกรณีที่มีข้อโต้เถียงว่าเป็นทรัพย์ของบุคคลอื่นอย่างเช่นคดีนี้ไม่ได้ แต่เมื่อโจทก์ที่ 2 มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดและกล่าวอ้างว่าถือกรรมสิทธิ์แทนนางสมนึก มีนะโตรีจึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ 2 ที่จะต้องนำสืบก่อน แต่พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอจะให้เชื่อว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของนางสมนึก มีนะโตรี เมื่อโจทก์ที่ 2 ได้ที่ดินนี้มาระหว่างเป็นสามีภรรยากับขุนนราจีนรณ จึงเป็นสินสมรสซึ่งขุนนราจีนรณมีส่วนได้สองในสามส่วน และตกเป็นของจำเลยตามพินัยกรรม ส่วนที่โจทก์ที่ 1 ฎีกาเกี่ยวกับที่ดินตามฟ้องแย้งของจำเลยร่วมกับโจทก์ที่ 2 มาด้วยนั้น เห็นว่าจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฎีกา

พิพากษายืน ฎีกาโจทก์ที่ 1 ให้ยกเสีย

Share