คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2216/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ตรีและในมาตรา 221 ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องการรับรองให้คดีขึ้นสู้การพิจารณาของศาลที่สูงกว่านั้นมีบัญญัติไว้เป็นใจความอย่างเดียวกัน จึงย่อมอาจนำเหตุผลในฎีกาที่เกี่ยวกับมาตรา 221 มาเป็นหลักวินิจฉัยประกอบเทียบเคียงกันได้
การที่ผู้พิพากษาศาลล่างผู้มีอำนาจที่จะรับรองให้คดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลที่สูงกว่าได้นั้น จะต้องบันทึกข้อความให้ครบหลักเกณฑ์ทั้งสองประการตามกฎหมาย คือข้อความที่ตัดสินไปเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งจะต้องบันทึกยืนยันว่าตนอนุญาตให้อุทธรณ์หรือฎีกาได้
ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นบันทึกในอุทธรณ์ว่า “ข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาอันควรสู่ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ สำเนาให้จำเลยที่ 2,3 แก้ ดังนี้ ถือว่ายังมิได้มีการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ตรี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันกระทำผิด คือจำเลยที่ 1 ได้ซื้อหุ้นของบริษัทมีชื่อจากโจทก์ และค้างค่าหุ้นอยู่ และโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ชำระเงินจนศาลได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 สมคบกับจำเลยที่ 2 ทำนิติกรรม โอนขายเรือของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 และสมคบกันทำนิติกรรมโอนขายเรือดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 อีกทอดหนึ่ง เพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 350

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งให้ประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 ให้จำคุก 1 ปี ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3

โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย คดีสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เพราะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลชั้นต้นจะได้บันทึกในอุทธรณ์ว่า “ข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาอันควรสู่ศาลอุทธรณ์ รับอุทธรณ์สำเนาให้จำเลยที่ 2, 3แก้” ก็มิได้แสดงว่าผู้พิพากษาผู้สั่งอุทธรณ์อนุญาตให้อุทธรณ์สำหรับคดีจำเลยที่ 1พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ตรี และในมาตรา 221 ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องการรับรองให้คดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลในระดับที่สูงกว่านั้น มีบัญญัติไว้เป็นใจความอย่างเดียวกันจึงย่อมอาจนำเหตุผลในฎีกาที่เกี่ยวกับมาตรา 221 มาเป็นหลักวินิจฉัยประกอบเทียบเคียงกันได้ และศาลฎีกาเห็นต่อไปว่าการที่ผู้พิพากษาศาลล่างผู้มีอำนาจที่จะรับรองให้คดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลที่สูงกว่าได้นั้น จะต้องบันทึกข้อความลงไว้ให้ครบหลักเกณฑ์ทั้ง 2 ประการตามที่ได้มีกำหนดไว้ในกฎหมายโดยชัดเจนดังเช่นในคดีนี้ ถ้าผู้พิพากษาผู้มีอำนาจรับรองอุทธรณ์มีความประสงค์ที่จะรับรองอุทธรณ์ของโจทก์ ก็ชอบที่จะต้องบันทึกความเห็นของตนให้ได้ความว่าข้อความที่ตัดสินไปเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลอุทธรณ์ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งจะต้องบันทึกยืนยันด้วยว่าตนอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ ทั้งนี้ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 95/2479 ระหว่าง นายคำหมั้นผู้รับมอบอำนาจจากนายโง่ยซินโจทก์ ขุนสถษฎิ์ระบิน จำเลย และคำพิพากษาฎีกาที่ 462/2513 ระหว่างนายเก ศรีเผือก กับพวก โจทก์ นางนวลอนงค์ ศรีเผือก จำเลย เพราะฉะนั้น การที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีนี้ยังไม่ได้มีการอนุญาตให้ โจทก์อุทธรณ์กรณีไม่ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ตรี ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยทุกประการ

พิพากษายืน

Share