คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7683/2542

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

นายทะเบียนเครื่องหมายการค้ายังมิได้มีคำสั่งไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ จึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะต้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า
มาตรา 29 และ 35 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ. 2534 เป็นบทบัญญัติสำหรับวิธีดำเนินการรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า โดยได้กำหนดเวลาสำหรับการยื่นคำคัดค้านไว้ด้วยแต่เมื่อไม่มีการคัดค้าน กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 35 และหาเป็นการตัดสิทธิเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงที่จะดำเนินคดีเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าของตนไม่ เมื่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้ารับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยแล้ว หากโจทก์เป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าจำเลย โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้ตามมาตรา 67 วรรคหนึ่ง
เครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยต่างประกอบด้วยตัวอักษรโรมันตัวเดียวกันคือ “K” และ “L” ซึ่งแม้จะมีการประดิษฐ์ตัวอักษรให้มีลักษณะแตกต่างกัน แต่เครื่องหมายการค้าทั้งสองก็มีสำเนียงเรียกขานว่า “เคแอล” เช่นเดียวกัน ทั้งสินค้าของโจทก์และของจำเลยเป็นสินค้าจำพวกวงกบประตู หน้าต่างและมือจับที่ทำด้วยโลหะเช่นเดียวกัน ถือได้ว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของสินค้าได้
โจทก์จ้างสถาปนิกให้ออกแบบเครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับสินค้าจำพวกวงกบประตู หน้าต่าง และมือจับซึ่งทำด้วยโลหะของโจทก์ตั้งแต่ปี 2526 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่โจทก์ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลโจทก์ยังได้จัดพิมพ์ใบโฆษณาขึ้นเพื่อเป็นการเผยแพร่สินค้าและเครื่องหมายการค้าของโจทก์ดังกล่าวแก่สาธารณชนมาก่อนจำเลยโดยเฉพาะสินค้าของโจทก์จะมีตัวอักษรโรมันว่า “KL” ติดอยู่ด้วยเมื่อโจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้าตัวอักษรโรมันว่า “KL” ในสินค้าจำพวกวงกบประตู หน้าต่าง และมือจับที่ทำด้วยโลหะมาก่อนจำเลยโจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าตัวอักษรโรมันดังกล่าวในสินค้าจำพวกวงกบประตู หน้าต่าง และมือจับที่ทำด้วยโลหะและสินค้าที่มีลักษณะอย่างเดียวกันดีกว่าจำเลย และมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนเครื่องหมายการค้าของจำเลยดังกล่าวได้ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบกิจการผลิตสินค้าประเภทวงกบบานประตูหน้าต่าง บานเกล็ด มือจับ มือถือ และประตูซึ่งทำด้วยโลหะโดยโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าดังกล่าวเป็นรูปตัวอักษรโรมันที่อ่านว่า “เคแอล” อยู่ภายในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าพื้นสีดำ ซึ่งโจทก์เป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นและใช้มาตั้งแต่ปี 2526 จนถึงปัจจุบัน ต่อมาเมื่อวันที่ 5พฤศจิกายน 2535 โจทก์ได้ไปขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์ในสินค้าจำพวกที่ 6 ตามคำขอเลขที่ 236560 ปรากฏว่าจำเลยได้นำรูปเครื่องหมายการค้าเป็นตัวอักษรโรมัน ซึ่งมีลักษณะคล้ายหรือเหมือนกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไปจดทะเบียนไว้ก่อนแล้วในสินค้าจำพวกเดียวกับสินค้าของโจทก์ตามทะเบียนเลขที่ 158697 การกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทำให้สาธารณชนทั่วไปเกิดความสับสนและเข้าใจผิด ขอให้พิพากษาว่า เครื่องหมายการค้าของจำเลยที่จดทะเบียนไว้ตามทะเบียนเลขที่ 158697 เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ให้เพิกถอนเครื่องหมายการค้าของจำเลยให้จำเลยประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันมติชนว่าเครื่องหมายการค้ารูปอักษรโรมันภายในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าพื้นสีดำเป็นของโจทก์แต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วันติดต่อกันโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย

จำเลยให้การว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าตัวอักษรโรมัน “KL” โดยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับสินค้าของจำเลยจำพวกวงกบประตูและหน้าต่างเหล็กสำเร็จรูปตั้งแต่ปี 2511 จนเป็นที่แพร่หลายจนถึงปัจจุบัน ขณะที่จำเลยดำเนินการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์หรือบุคคลอื่นได้คัดค้านการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่านายทะเบียนเครื่องหมายการค้าปฏิเสธไม่รับคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์จึงยังไม่มีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ หากนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าปฏิเสธไม่รับคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ โจทก์จะต้องอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าภายใน90 วัน ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 18 การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้องต่อศาล จำเลยไม่ได้ลอกเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้า เลขที่ 158697 ต่อนายทะเบียน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยต่างประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภทวงกบบานประตูและหน้าต่างซึ่งทำด้วยโลหะ โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2526ส่วนจำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด สหสามวัฒน์พานิชซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2528 ต่อมาวันที่ 6กันยายน 2534 จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นตัวอักษรโรมันในสินค้าจำพวก 18 (เดิม) ตามสำเนาคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเอกสารหมาย จ.13 และเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2535โจทก์ไปยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นตัวอักษรโรมัน อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าพื้นสีดำ ตามสำเนาคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเอกสารหมาย จ.20 ขณะนี้เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ยังไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเพราะเมื่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์แล้ว โจทก์จะต้องอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าภายใน 90 วัน เสียก่อนตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 18 แต่โจทก์มิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนดังกล่าวนั้น เห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายทะเบียนเครื่องหมายการค้ายังมิได้มีคำสั่งไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ฉะนั้น จึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะต้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าตามขั้นตอนที่จำเลยกล่าวอ้าง และที่จำเลยฎีกาว่าในขณะที่จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่พิพาทโจทก์มิได้เข้ามาคัดค้านว่าโจทก์มีสิทธิดีกว่าจำเลยในเครื่องหมายการค้านั้นตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 โจทก์จึงมิใช่บุคคลผู้มีส่วนได้เสียตามความหมายของมาตรา 67 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวในอันที่จะร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้นั้นก็ไม่ปรากฏว่ากฎหมายได้บัญญัติไว้ดังที่จำเลยกล่าวอ้างเช่นนั้นเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 29 และ 35 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ. 2534 เป็นบทบัญญัติสำหรับวิธีดำเนินการรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยได้กำหนดเวลาสำหรับการยื่นคำคัดค้านไว้ด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าไม่มีการคัดค้าน กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 35 และหาเป็นการตัดสิทธิเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงที่จะดำเนินคดีเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าของตนไม่ เมื่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้ารับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยแล้ว หากโจทก์เป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าจำเลยโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้ตามมาตรา 67 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ. 2534

ปัญหาที่จำเลยฎีกาต่อไปมีว่า เครื่องหมายการค้าของจำเลยเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนอาจเป็นการทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของสินค้าหรือไม่ เห็นว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยต่างประกอบด้วยตัวอักษรโรมันตัวเดียวกันคือ “K”และ “L” ซึ่งแม้จะมีการประดิษฐ์ตัวอักษรให้มีลักษณะแตกต่างกัน แต่เครื่องหมายการค้าทั้งสองก็มีสำเนียงเรียกขานว่า “เคแอล” เช่นเดียวกันทั้งสินค้าของโจทก์และของจำเลยเป็นสินค้าจำพวกวงกบประตู หน้าต่างและมือจับที่ทำด้วยโลหะเช่นเดียวกัน ดังนี้ ถือได้ว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยจึงเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของสินค้าได้

ปัญหาต่อไปมีว่า โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าและดีกว่าจำเลยหรือไม่ โจทก์มีนางกัลยา ทีปกรสุขเกษม ผู้เป็นหุ้นส่วนของโจทก์ กับนายไพบูลย์ เกษมสุขสกุล ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นพยานเบิกความยืนยันสอดคล้องต้องกันว่า โจทก์จ้างนายธวัชชัยสถาปนิกให้ออกแบบเครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับสินค้าจำพวกวงกบประตู หน้าต่าง และมือจับซึ่งทำด้วยโลหะของโจทก์ตั้งแต่ปี 2526 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่โจทก์ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลนอกจากนี้โจทก์ยังได้จัดพิมพ์ใบโฆษณาตามเอกสารหมาย จ.6 ขึ้นเพื่อเป็นการเผยแพร่สินค้าและเครื่องหมายการค้าของโจทก์ดังกล่าวแก่สาธารณชนโดยเฉพาะสินค้าของโจทก์จะมีตัวอักษรโรมันว่า “KL” ติดอยู่ด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า โจทก์ได้มีการใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับสินค้าของโจทก์อีกทั้งได้ลงประกาศโฆษณาสินค้าและเครื่องหมายการค้าในหนังสือพิมพ์สรุปข่าวตั้งแต่ปี 2526 เป็นต้นมา ส่วนจำเลยนั้นเพิ่งมีการลงโฆษณาสินค้าและเครื่องหมายการค้าของจำเลยเมื่อปี 2535 นอกเหนือจากนี้แล้ว โจทก์ยังมีนายสุรสิทธิ์ ชัยตระกูลทอง นายศุภชัย ไชยวัฒนารุ่งเลิศและนายพิทยา สราญรมย์ ซึ่งเป็นลูกค้าของโจทก์มาเบิกความสนับสนุนว่าพยานทั้งสามได้ซื้อสินค้าจากโจทก์และเห็นโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์กับสินค้าของโจทก์ตลอดมาตั้งแต่ปี 2527 จนถึงปัจจุบัน ส่วนจำเลยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยได้ใช้เครื่องหมายการค้าตัวอักษรโรมันว่ากับสินค้าของจำเลยมาตั้งแต่ปี 2520 จริงดังที่จำเลยกล่าวอ้างพยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้าตัวอักษรโรมันว่า “KL” ในสินค้าจำพวกวงกบประตูหน้าต่างและมือจับที่ทำด้วยโลหะมาก่อนจำเลยโจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าตัวอักษรโรมันในสินค้าจำพวกวงกบประตู หน้าต่างและมือจับที่ทำด้วยโลหะและสินค้าที่มีลักษณะอย่างเดียวกันดีกว่าจำเลยและมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนเครื่องหมายการค้าของจำเลยดังกล่าวได้ด้วย”

พิพากษายืน

Share