แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ในการไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 รู้เห็นหรือมีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มีส่วนรู้เห็นกับจำเลยที่1 เป็นการอุทธรณ์โต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ เพราะคดีมีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353, 383 แล้ว มีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณาเฉพาะจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ในการไต่สวนมูลฟ้องศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 รู้เห็นหรือมีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 1 โจทก์อุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟ้องได้ว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนรู้เห็นกับจำเลยที่ 1 เบียดบังเอาที่ดินของโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 1ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทนไปเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการอุทธรณ์โต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ เพราะคดีนี้มีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน