คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3066/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยได้อาศัยหนังสือสัญญากู้อันเป็นเท็จมาฟ้องผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้กู้ แล้วมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล และศาลได้พิพากษาไปตามยอมนั้น ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการนำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีของศาลจำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 จำคุก 2 ปี จำเลยรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอกสารและอื่น ๆ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย ริบเอกสารสัญญากู้รายนายสันต์ วรการ ซึ่งเป็นเอกสารเท็จของกลาง เอกสารนอกนั้นคืนเจ้าของ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 108 ด้วย โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาเพียงปัญหาเดียวว่า ที่จำเลยนำหลักฐานสัญญากู้เงินฉบับที่นายสันต์วรการ ผู้เสียหาย กู้เงินจำเลย 10,000 บาท แต่จำเลยให้ลงจำนวนเงินในสัญญากู้เป็น 40,000 บาท อันเป็นเท็จมาฟ้องนายสันต์ วรการ ผู้เสียหายตามคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 3154/2512 นั้น จำเลยจะมีความผิดฐานนำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2512 นายสันต์ วรการ ผู้เสียหาย กู้เงินจำเลย 10,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อเดือน แต่ทำสัญญากู้เป็นเงินต้น 40,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี โดยผู้เสียหายเป็นผู้เขียนสัญญาที่บ้านของจำเลยในกรุงเทพมหานคร ตามคำบอกของจำเลย จำเลยให้ระบุในหนังสือสัญญากู้ว่า ทำสัญญาที่จังหวัดนครสวรรค์ และลงวันที่ย้อนหลังเป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2509 มีกำหนด 1 ปี ครบกำหนดวันที่ 31 ธันวาคม 2510 เมื่อทำสัญญาเสร็จแล้ว จำเลยยังมิได้จ่ายเงินที่กู้ให้ผู้เสียหาย แต่จำเลยนำหนังสือสัญญากู้ดังกล่าวมาฟ้องผู้เสียหายเป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2512 ผู้เสียหายยื่นคำให้การว่าเป็นหนี้จำเลยจริง แต่ขอผ่อนชำระ และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล ศาลแพ่งพิพากษาตามยอม ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 3159/2512 ของศาลแพ่ง ในวันที่ศาลแพ่งพิพากษาตามยอมนั่นเองจำเลยได้มอบเงินจำนวน 9,800 บาท ให้แก่ผู้เสียหายโดยหักไว้ 200 บาท อ้างว่าเป็นค่าอากรแสตม์ป ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าแม้หนังสือสัญญากู้ที่จำเลยนำมาฟ้องผู้เสียหาย จะฟังได้ว่าเป็นเอกสารที่ทำขึ้นเป็นเท็จก็ดี แต่ผู้เสียหายก็เบิกความว่าเมื่อจำเลยยื่นฟ้องแล้ว พยานได้ยื่นคำให้การรับว่าเป็นหนี้จำเลยจริงและขอผ่อนชำระ ในที่สุดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏเลยว่าก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลแพ่งได้ดำเนินการพิจารณาไปแล้วอย่างไรบ้าง และจำเลยได้นำสืบหรืออ้างส่งหนังสือสัญญากู้อันเป็นเท็จมาแสดงต่อศาลอย่างใดหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความเพียงว่า จำเลยได้อาศัยหนังสือสัญญากู้อันเป็นเท็จมาเป็นมูลฟ้องผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้กู้เท่านั้น แล้วมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลและศาลก็ได้พิพากษาไปตามยอมนั้น การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการนำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีของศาล จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 เทียบได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 2211/2526 ระหว่างนางบุญนาค ทองเพชร โจทก์ นางสาวผิน ยิ่งสกุล กับพวก จำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share