แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยไปตามโจทก์ซึ่งเป็นภริยาให้กลับบ้าน โจทก์ไม่กลับ จำเลยโมโหเข้าแย่งบุตรอายุ 3 เดือนจากโจทก์ขึ้นรถจักรยานยนต์และติดเครื่อง โจทก์ดับเครื่อง จำเลยลงจากรถด้วยความโมโห และจับบุตรทุ่มลงบนถนนกะโหลกศีรษะแตกยุบถึงแก่ความตาย ดังนี้จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ทางพิจารณาข้อเท็จจริงในเบื้องต้นได้ความว่า โจทก์กับจำเลยอยู่ด้วยกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือเด็กชายสุธน ปรีชารส ตามสูติบัตรเอกสารหมาย จ.1 โจทก์กับจำเลยอยู่ที่บ้านนายจรุงหรือจรูญ รุ่งแจ้งซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยก่อนเกิดเหตุโจทก์พาเด็กชายสุธนไปบ้านบิดามารดาโจทก์ที่ตำบลจอมทอง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 16-17 นาฬิกาจำเลยไปหาโจทก์ โดยขี่รถจักรยานยนต์แบบผู้หญิงชนิดไม่มีคลัตช์สามารถขับขี่ได้โดยใช้มือเพียงข้างเดียวจำเลยจอดรถไว้ที่ถนนห่างบ้านบิดามารดาโจทก์ประมาณ 1 เส้นเศษ โจทก์กับจำเลยได้พบปะพูดจากันในบริเวณที่จอดรถแล้วเกิดโต้เถียงกันก่อนที่เด็กชายสุธนจะได้รับอันตรายและถึงแก่กรรมในวันเกิดเหตุ จำเลยเป็นผู้อุ้มเด็กชายสุธน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์เบิกความว่า วันเกิดเหตุจำเลยไปหาและบอกให้โจทก์กลับบ้านจำเลยมีอาการมึนเมา โจทก์บอกว่าเด็กชายสุธนไม่สบายและเท้าโจทก์ก็เจ็บจำเลยจูงมือโจทก์ไปพูดกันที่ถนนตรงบริเวณที่จำเลยจอดรถ โจทก์อุ้มเด็กชายสุธนไปด้วย จำเลยชวนให้โจทก์กลับบ้านพร้อมจำเลย โจทก์อ้างเหตุผลเช่นเดิม จำเลยโมโหและตบหน้าโจทก์จนเซไป จากนั้นจำเลยแย่งเด็กชายสุธนคืนจากโจทก์และตบเตะโจทก์หลายครั้ง โจทก์พยายามแย่งเด็กชายสุธนคืน แต่แย่งไม่ได้ จำเลยขึ้นรถและติดเครื่อง โจทก์ดับเครื่องจำเลยลงจากรถด้วยความโมโหและพูดว่า “ลูกมึงจะเอาไว้ทำไม” แล้วจำเลยใช้มือทั้งสองจับเด็กชายสุธนชูขึ้นสุดแขนทุ่งลงบนถนน โจทก์ร้องขึ้นสุดเสียงและพยายามจะวิ่งเข้าไปช่วย จำเลยคว้าไม้มะขามโตขนาดเท่าแขนจะตีเด็กชายสุธนซ้ำ โจทก์ล้มลง นางรวมและนางจำปีซึ่งมีบ้านอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 5 วาวิ่งมาช่วย นางรวมพูดว่าทำไมทำอย่างนี้และเข้าไปกั้นจำเลยไว้ จำเลยตีนางรวม 1 ทีถูกที่แขน นางจำปีไปเขย่าตัวโจทก์ให้อุ้มเด็กชายสุธนเข้าบ้าน ขณะโจทก์อุ้มเด็กชายสุธนพาวิ่งเข้าบ้าน จำเลยวิ่งไล่ตีโจทก์พร้อมกับพูดว่ามึงต้องตายทั้งแม่ทั้งลูก โจทก์ยกแขนรับ จึงถูกตีที่แขน 1 ที จำเลยจิกผมโจทก์และดึงไปยังที่เกิดเหตุ โจทก์เรียกให้มารดาช่วย นางเฉลิม ลูกพลับ มารดาโจทก์ และนางสาวบุญมา สุขมี ลูกพี่ลูกน้องกับโจทก์ไปที่เกิดเหตุ นางเฉลิมอุ้มเด็กชายสุธนไปจากมือโจทก์และพาไปบ้านกำนัน โจทก์ นางสาวบุญมาและจำเลยตามไปด้วย แต่กำนันไม่อยู่บ้าน จำเลยพูดว่า “มึงรออยู่ที่นี่ กูจะไปเอาปืน” แล้วก็จากไป โจทก์นางเฉลิมและนางสาวบุญมาพาเด็กชายสุธนไปที่โรงพยาบาลพุทธชินราชแพทย์ตรวจแล้วบอกว่าเด็กชายสุธนถึงแก่กรรมในระหว่างทาง โจทก์ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองพิษณุโลกและไปแจ้งเหตุที่บ้านกำนันว่าจำเลยฆ่าเด็กชายสุธนโดยยกทุ่มลงบนถนน โจทก์พาตำรวจไปตามจับจำเลยที่บ้านนายจ้างของจำเลย บ้านพี่สาวจำเลย และบ้านบิดามารดาจำเลย แต่ไม่พบจำเลยคำของโจทก์ดังกล่าวมีนางสาวบุญมา นางเฉลิม และนางสาวละมาย สุขใยเบิกความสนับสนุน โดยนางสาวบุญมาเบิกความว่า บ้านพยานอยู่ทางทิศใต้ห่างบ้านบิดามารดาโจทก์ประมาณ 30 วา วันเวลาเกิดเหตุขณะที่พยานจะออกไปเก็บผักที่หลังบ้าน พยานเห็นจำเลยตบโจทก์ที่ถนนหน้าบ้านบิดามารดาโจทก์ ขณะนั้นโจทก์อุ้มเด็กชายสุธนอยู่ จำเลยแย่งเด็กชายสุธนไปจากโจทก์แล้วอุ้มไปขึ้นรถ โจทก์แย่งเด็กชายสุธนจากจำเลย แต่แย่งไม่ได้ จำเลยยกเด็กชายสุธนขึ้นทุ่มไปทางขวามือแล้วหาไม้มาตีโจทก์ นางรวมและนางจำปีไปช่วยโจทก์ จำเลยใช้ไม้ตีถูกแขนนางรวม จากนั้นนางเฉลิมไปถึงที่เกิดเหตุและอุ้มเด็กชายสุธนไปบ้านกำนันเพื่อแจ้งความ นางเฉลิมเบิกความว่า วันเวลาเกิดเหตุขณะที่พยานอยู่บนบ้านเห็นโจทก์ จำเลย นางสาวบุญมา นางรวมและนางจำปีกำลังวุ่นอยู่ที่ถนนกับได้ยินเสียงโจทก์ร้องให้พยานช่วย เมื่อพยานวิ่งไปถึงที่เกิดเหตุโจทก์บอกว่าจำเลยทุ่มเด็กชายสุธนพยานต่อว่าจำเลยแล้วอุ้มเด็กชายสุธนไปบ้านกำนัน และนางสาวละมายเบิกความว่าบ้านพยานอยู่ห่างบ้านบิดามารดาโจทก์ประมาณ 1 เส้นเศษ วันเวลาเกิดเหตุพยานเดินกลับจากไร่ เมื่อเดินขึ้นถนนเห็นโจทก์และจำเลยยืนอยู่ห่างจากพยาน1 เส้นเศษ จากนั้นเห็นจำเลยจับเด็กชายสุธนทุ่งลงบนถนน แล้วพยานก็เข้าบ้านโดยไม่ได้ไปดูที่เกิดเหตุเพราะเห็นว่าโจทก์และจำเลยเป็นผัวเมียกัน วันรุ่งขึ้นโจทก์บอกพยานว่าเด็กชายสุธนถึงแก่กรรมแล้วเพราะถูกจำเลยทุ่ม ประกอบกับนายแพทย์สำราญ สินแสงแก้ว แพทย์ประจำโรงพยาบาลพุทธชินราชเบิกความว่าพยานเป็นผู้ทำความเห็นของแพทย์ในรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ. 1 ซึ่งตามเอกสารดังกล่าวระบุเหตุและพฤติการณ์ที่เด็กชายสุธนถึงแก่กรรมว่า ถูกจำเลยจับทุ่มกับพื้นถนนกะโหลกศีรษะด้านหลังแตกยุบเป็นอันตรายต่อสมองเพราะกระทบกระแทกของแข็งอย่างแรง ส่วนจำเลยอ้างตนเป็นพยานเพียงคนเดียวเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุโจทก์พาเด็กชายสุธนไปบ้านบิดามารดาโจทก์โดยบอกว่าจะไป 3 วัน แต่เป็นเวลาถึง 9 วันแล้วโจทก์ก็ยังไม่กลับ วันเกิดเหตุจำเลยจึงไปตามโจทก์และเรียกโจทก์ไปสอบถามพูดคุยที่ถนนหน้าบ้านบิดามารดาโจทก์ จำเลยถามโจทก์ว่า “มาแบบนี้หมายความว่าอะไร” แล้วเกิดโต้เถียงกัน จำเลยบอกโจทก์ว่าขออุ้มเด็กชายสุธนเป็นครั้งสุดท้ายซึ่งโจทก์ก็ส่งให้ จำเลยอุ้มเด็กชายสุธนด้วยมือซ้ายและติดเครื่องรถจะขับออกจากที่เกิดเหตุโจทก์กระโดดเข้าแย่งเด็กชายสุธนโดยแรง เป็นเหตุให้จำเลยเสียหลักและเด็กชายสุธนหลุดจากมือจำเลยหล่นไปบนถนน ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์เบิกความว่าจำเลยจับเด็กชายสุธนชูขึ้นสุดแขนแล้วทุ่มลงไปบนถนน มีนางสาวบุญมาและนางสาวละมายเบิกความสนับสนุน ทั้งทันทีที่นางเฉลิมวิ่งไปถึงที่เกิดเหตุโจทก์ก็บอกว่าจำเลยทุ่มเด็กชายสุธน ประกอบกับตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.1 ระบุเหตุและพฤติการณ์ที่เด็กชายสุธนถึงแก่กรรมว่า ถูกจำเลยจับทุ่มกับพื้นถนน กะโหลกศีรษะด้านหลังยุบเพราะกระทบกระแทกของแข็งอย่างแรงแม้นางสาวบุญมาและนางสาวละมายจะเบิกความว่า ขณะจำเลยทุ่มเด็กชายสุธนจำเลยนั่งคร่อมรถอยู่ ซึ่งแตกต่างกับคำของโจทก์ที่เบิกความว่าจำเลยทุ่มเด็กชายสุธนขณะที่จำเลยยืนอยู่ ข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นเรื่องปลีกย่อยเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นติดต่อกันกระชั้นชิด โดยโจทก์เบิกความว่า เมื่อจำเลยแย่งเด็กชายสุธนไปจากโจทก์ได้แล้วจำเลยขึ้นรถและติดเครื่องโจทก์ดับเครื่องจำเลยลงจากรถด้วยความโมโหและจับเด็กชายสุธนทุ่มลงไปบนถนน นางสาวบุญมาและนางสาวละมายจึงอาจเบิกความสับสนไปบ้างพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าจำเลย ข้อเท็จจริงเชื่อว่าจำเลยจับเด็กชายสุธนทุ่มลงไปบนถนนด้วยความรุนแรงเนื่องจากโกรธเคืองโจทก์ โดยโจทก์ไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดของจำเลยด้วย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน