คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จะรับฎีกาที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 221 นั้น จะต้องปรากฏว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา ฉะนั้นคำสั่งที่ว่า ‘พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้ฎีกาได้ รับฎีกาของจำเลย’ จึงเป็นเพียงข้อความอนุญาตให้ฎีกาได้เท่านั้น มิได้ยกเหตุตามบทกฎหมายดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยชอบ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357, 83 จำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 3มีความผิดตามมาตรา 335, 83 จำคุก 4 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1และที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1และที่ 2 คนละ 1 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 การที่จะรับฎีกาที่ต้องห้ามดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 นั้น จะต้องปรากฏว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาแต่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงว่า “พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้ฎีกาได้รับฎีกาของจำเลยที่ 1,2 สำเนาให้โจทก์” เห็นว่าคำสั่งรับฎีกาดังกล่าวมีแต่เพียงข้อความอนุญาตให้ฎีกาได้เท่านั้น มิได้ยกเหตุตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้วแต่ประการใด จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยชอบ ศาลฎีกาได้ตรวจดูคำฟ้องฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้ว ล้วนแต่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้”

พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เสีย

Share